ประชาชน 90 รายถูกสังหาร และอีกประมาณ 1,800 รายได้รับบาดเจ็บในช่วง 6 สัปดาห์ก่อนถึงการบุกสลายชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม ชีวิตที่สูญเสียเพิ่มมากขึ้นในเหตุการณ์ความขัดแย้งแสดงให้เห็นถึงความเส แสร้งของ “กฎเกณฑ์ประชาธิปไตย” และ “ความเคารพในหลักนิติธรรม” ซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามปกป้องมาตลอดการดำรงตำแหน่ง เมื่อความชอบธรรมของรัฐบาลถูกท้าทายจากกลุ่มคนจำนวนมากที่มีการจัดตั้งมา อย่างดีและส่วนใหญ่ก็มาโดยสันติแล้ว อภิสิทธิ์แสดงให้เห็นถึงการไร้ความสามารถในการปกครอง และไม่สามารถปกป้องแม้แต่สิ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2007 หลังรัฐประหารได้ให้การคุ้มครองแก่ประชาชนไทย แม้กระทั่งก่อนการชุมนุมจะเริ่มต้น รัฐบาลได้ระงับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญโดยการประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคง เพื่อพยายามจำกัดกิจกรรมของเสื้อแดง ก่อนหน้าการปราบปรามการชุมนุมครั้งแรกไม่กี่วัน รัฐบาลก็ยังได้ใช้อำนาจเผด็จการ ประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน อีก 3 เดือนถัดมา พรก.ฉุกเฉินก็ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
กองทัพกลับมาควบคุมประเทศนี้อีกครั้ง โดยต่างจากช่วงหลังรัฐประหารในปี 2006 การปกครองครั้งใหม่นี้ดำเนินการโดยใช้หลักกฎหมายมาบดบัง กล่าวอย่างเจาะจงคือ มาจากการใช้อำนาจโดยมิชอบผ่านร่างกฎหมายที่กดทับสิทธิ ทำให้เผด็จการทหารใหม่สามารถเข้าสู่อำนาจได้โดยอยู่เหนือการตรวจสอบใดๆ ทั้งปวง และลิดรอนสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรอง รวมถึงการคัดเลือกกฎหมายมาบังคับใช้ให้ตรงกับความต้องการและผลประโยชน์ของตน เท่านั้น การที่รัฐบาลปัจจุบันนำ พรก.ฉุกเฉิน มาใช้โดยมิชอบ ถือเป็นการลดทอนหลักนิติธรรมแทบทั้งหมด ขาดก็แต่การประกาศรัฐประหารอย่างเป็นทางการเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเสแสร้งว่ามีความชอบธรรมทางกฎหมายของรัฐบาลนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรประเมิน ผิดพลาด การบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉิน และการขยายเวลาบังคับใช้ออกไปอย่างไม่มีกำหนดถือเป็นการรัฐประหารเงียบ (ทั้งยังถือว่ารุนแรงอย่างไม่อาจยอมรับได้) ในส่วนของคณะรัฐบาลอภิสิทธิ์และทหารที่หนุนหลัง ในตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า พรก.ฉุกเฉินซึ่งยังคงถูกบังคับใช้ต่อไป ไม่ใช่เพื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่เพื่อให้อำนาจเผด็จการแก่รัฐบาลตามที่ต้องการ และเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและเพื่อดำรงอำนาจทางการเมืองที่ได้มาโดย ไม่ถูกต้องต่อไป
พรก. ฉุกเฉิน จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ละเมิด ICCPR ในมาตราที่ 4 ที่ระบุว่าการระงับสิทธิ์บางประการของ ICCPR เป็นการชั่วคราว เช่น ระงับสิทธิในการชุมนุมนั้น จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อ “เป็นการใช้โดยขยายขอบเขตอย่างเคร่งครัดตามความฉุกเฉินของสถานการณ์”
พรบ. ความมั่นคงฯ ออกมาในปี 2008 โดยมีการให้นิยาม “การรักษาความมั่นคงภายใน” อย่างกว้างครอบคลุมทุกทิศ โดยรวมถึง “ปฏิบัติการเพื่อป้องกัน, ควบคุม, แก้ไข และฟื้นฟู เหตุใด ๆ ก็ตามที่อาจก่อให้เกิดอันตรายโดยมาจากบุคคลหรือกลุ่มคนที่สร้างความวุ่นวาย สร้างความเสียหายต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน หรือทำให้เกิดการเสียเลือดเนื้อของประชาชน รวมถึงความสูญเสียต่อชาติ [134]อย่างไรก็ตาม พรบ. นี้อนุญาตให้ใช้มาตรการพิเศษ ข้อบังคับพิเศษ เพียงเพื่อ “ให้เกิดการฟื้นฟูสถานการณ์สู่สภาพปกติ ในนามของความสงบเป็นระเบียบเรียบร้อยของประชาชน หรือต่อความมั่นคงในชาติ [135]
กฏหมายฉบับนี้ดำรงอยู่ภายใต้อำนาจการดำเนินงานของสำนักนายกรัฐมนตรี ภายใต้กฏหมายฉบับนี้ระบุว่า “ในเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายใน แต่ยังไม่จำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐมนตรี คณะรัฐบาลจะลงมติให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) รับผิดชอบด้านการป้องกัน, ปราบปราม และขจัดหรือบรรเทาเหตุการณ์ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงภายใน ภายในพื้นที่และเวลาที่กำหนด” กอ.รมน. เป็นหน่วยงานสาขาหนึ่งของกองทัพ ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องความมั่นคงในชาติจากภัยภายในประเทศ [136] โดยดำเนินงานภายใต้คำสั่งโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ตามพรบ. ระบุว่าเป็น “ผู้อำนวยการความมั่นคงภายใน”[137]
เมื่อมีการลงมติดังกล่าวแล้ว รัฐบาลของประเทศจะไม่ใช่รัฐสภา, คณะรัฐมนตรี, ศาลอีกต่อไป แต่จะมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ, มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นรักษาการผู้อำนวยการ และเสนาธิการเหล่าทัพเป็นเลขาธิการ [138] สิ่งที่พอจะทำหน้าที่แทรกแซงระหว่างสองขั้วอำนาจได้คือคณะรัฐบาล แต่อิทธิพลนั้นต่ำมาก เนื่องจากถูกจำกัดโดยการรับรองการพิจารณาผ่านนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจในการ “อนุมัติมติดังต่อไปนี้”
1. ให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้เกี่ยวข้องกระทำการ หรืองดเว้นกระทำการใด ๆ
2. ห้ามการเข้า-ออก อาคาร สถานที่ หรือพื้นที่ที่กำหนดในช่วงที่มีการปฏิบัติการ เว้นแต่จะมีการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ผู้มีคุณสมบัติ หรือเป็นผู้ที่ได้รับการงดเว้น
3. ห้ามการออกจากอาคารที่พักอาศัยภายในเวลาที่กำหนดไว้
4. ห้ามการพกพาอาวุธภายนอกเขตอาคารที่พักอาศัย
5. ห้ามการใช้เส้นทางหรือยานพาหนะ หรือกำหนดสภาพการใช้เส้นทางหรือยานภาหนะ
6. เพื่อสั่งการให้บุคคลกระทำหรือยับยั้งการกระทำ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายต่อชีวิต, เลือดเนื้อ หรือทรัพย์สินของประชาชน [139]
ข้อที่ 2 - 6 มีไว้เพียงเพื่อเพิ่มความชัดเจน เพราะขอบเขตอำนาจของนายกรัฐมนตรีถูกระบุไว้หมดแล้วในข้อที่ 1 คืออำนาจในการ “ให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้เกี่ยวข้องกระทำการ หรืองดเว้นกระทำการใด ๆ” นี่คือการใช้อำนาจจากการอนุมัติ “มติ” ของนายกรัฐมนตรี โดยไม่ต้องผ่านสภา ไม่ผ่านการตรวจสอบโดยวิถีทางประชาธิปไตย ไม่มีการพิจารณาของรัฐสภา มีเพียงนายกรัฐมนตรี, คณะรัฐบาล และกองทัพเท่านั้นที่มีอำนาจปกครอง นี่คือสถานภาพความเป็นนิติรัฐของประเทศไทย ตั้งแต่ 11 มีนาคม 2010 เป็นต้นมา
แม้ว่าจะมีการประกาศใช้ พรบ. ความมั่นคงและความพยายามกำจัดการเคลื่อนไหวของพวกเขา แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางกลุ่มเสื้อแดงได้ กลุ่มเสื้อแดงหลายพันคนจากทุกชนชั้นของสังคมพากันเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อประท้วงรัฐบาลปัจจุบันและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง เพื่อเป็นการตอบโต้ผู้ที่แห่แหนมาต่อต้านรัฐบาล นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และครอบครัวพากันหนีออกจากที่พักในกรุงเทพฯ ไปยังค่ายทหาร ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงการที่อภิสิทธิ์ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเหล่านายพล ในวันที่ 7 เมษายน หลังจากไตร่ตรองมาหลายสัปดาห์แล้ว รัฐบาลได้เพิ่มอำนาจของ พรบ.ความมั่นคงขึ้นอีกโดยการประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ในกรุงเทพฯ และในเขต 5 จังหวัดใกล้เคียง
ตามมาตราที่ 9 ของพระราชกำหนดการบริหารงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) รัฐบาลมีการสั่งห้ามไม่ให้มี “การชุมนุมหรือรวมตัวร่วมกันกระทำการตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” รวมถึง “การกระทำใด ๆ ที่ยั่วยุให้เกิดความไม่สงบ” ภายใต้ความหมายดังนี้
การกีดขวางทางจราจรในลักษณะที่ทำให้การคมนาคมตามปกติมิอาจกระทำได้
การปิดกั้นทางเข้า-ออก อาคารหรือสถานที่ในทางที่จะเป็นการกีดขวางการขนส่ง การทำธุรกรรม หรือการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป
การโจมตีหรือใช้กำลังในทางที่จะสร้างความเสียหาย ความหวาดกลัว ความวุ่นวาย และความวิตกกังวลต่อความปลอดภัยในชีวิต เลือดเนื้อ และทรัพย์สิน ของประชาชน
การปิดกั้นทางเข้า-ออก อาคารหรือสถานที่ในทางที่จะเป็นการกีดขวางการขนส่ง การทำธุรกรรม หรือการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป
การโจมตีหรือใช้กำลังในทางที่จะสร้างความเสียหาย ความหวาดกลัว ความวุ่นวาย และความวิตกกังวลต่อความปลอดภัยในชีวิต เลือดเนื้อ และทรัพย์สิน ของประชาชน
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ผู้มีคุณสมบัติเกี่ยวข้องกับการ ชุมนุม ผู้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความสงบและป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายต่อชีวิต ประจำวันของประชาชน
การลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนประกอบด้วย “การจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท [140] นอกจากนี้แล้ว รัฐบาลยังสั่งห้าม “การเผยแพร่ข่าวสาร การผลิตซ้ำ หรือแพร่กระจาย ข่าวสาร สิ่งพิมพ์ หรือการสื่อสารด้วยช่องทางใด ๆ ที่มีเนื้อหาสร้างความหวาดกลัวต่อประชาชน หรือมีการจงใจบิดเบือนข้อมูลข่าวสารที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อย หรือจริยธรรมอันดีของประชาชนในราชอาณาจักร” [141]
ตามมาตรา 11 ของ พรก.ฉุกเฉิน รัฐบาลได้มีมติจากการประชุมฝ่ายบริหารโดยให้มีการขยายอำนาจพิเศษอย่างไร้ข้อ จำกัด นอกจากนี้แล้ว รัฐบาลยังได้มีอำนาจในการ “จับกุมและกักขังบุคคลที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการยุยงปลุกปั่น สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือบุคคลที่โฆษณา หรือสนับสนุนการกระทำดังกล่าว” “เรียกตัวปัจเจกบุคคลเพื่อรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ให้ข้อมูล เอกสาร หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ฉุกเฉิน” และ “สั่งห้ามหรือสั่งให้กระทำการใด ๆ ที่จำเป็นต่อความมั่นคงของชาติหรือความปลอดภัยของประชาชน” [142]
พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจรัฐบาลในการสถาปนาอำนาจ ทางกฎหมายจอมปลอม ซึ่งเป็นผลให้เกิดการสลายการชุมนุมที่ผิดพลาด อย่างเช่นกรณีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อ 10 เม.ย. ในวันที่ 13 พ.ค. วันที่ เสธ.แดง ถูกลอบสังหาร มีการขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปยัง 15 จังหวัดในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่มีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พ.ค. มีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกินพื้นที่กว่า 24 จังหวัด จาก 76 จังหวัดของประเทศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังคงมีผลบังคับใช้ แม้รัฐบาลจะยกเลิกประกาศห้ามออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิวส์) ล่าสุด พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังคงมีผลบังคับใช้ใน 19 จังหวัดจนถึงต้นเดือนตุลาคมโดยไม่มีที่ท่าว่าจะยกเลิก (หมายเหตุจากผู้แปลเอง มติ ครม. 21 ก.ค. มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 3 จังหวัด ส่วนอีก 16 จังหวัดที่ยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร จ.นนทบุรี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ปทุมธานี จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.อุบลราชธานี จ.มหาสารคาม จ.หนองบัวลำภู จ.มุกดาหาร จ.อุดรธานี จ.นครราชสีมา จ.ชัยภูมิ, จ.ขอนแก่น จ.ชลบุรี และ จ.สมุทรปราการ)
นี่เป็นเพียงการแทนที่หลักนิติรัฐด้วยความคิดเพ้อฝันของพวกเขาเอง ด้วยวิธีนี้ ทำให้เสรีภาพของพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของชาวไทยซึ่งมีหลักประกันคือรัฐ ธรรมนูญปี 2550 ถูกระงับชั่วคราว รัฐธรรมนูญฉบับนี้เองที่นายกรัฐมนตรีและกองทัพผู้หนุนหลังหวังว่าจะนำมาใช้ หยุดยั้งการท้าทายต่ออำนาจการปกครองอันไม่ชอบธรรมของพวกเขา บรรดาผู้ท้าทายเหล่านี้ยังคงต่อต้านโดยมีราคาที่ต้องจ่ายคือชีวิต อวัยวะ หรือเสรีภาพของพวกเขา
ควรบันทึกด้วยว่า วิธีการที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินบังคับใช้หลังการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้สร้างวิธีปฏิบัติของรัฐบาลเป็นสองมาตรฐาน นอกจากที่แกนนำหลักของ นปช. ยังคงถูกควบคุมตัวและมีความเป็นไปได้ที่จะถูกตัดสินประหารชีวิตจากข้อหาก่อ การร้ายแล้วนั้น และเมื่อ 10 มิ.ย. มีรายงานว่ารัฐบาลได้จับผู้ที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงแล้ว 417 คน ส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในจำนวนนี้มีหลายรายที่ถูกสอบสวนและตัดสินโทษภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก ถูกจับ และเมื่อ 26 มิ.ย. นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรมถูกควบคุมตัวและตั้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขณะที่เขาผูกริบบิ้นสีแดงที่สี่แยกราชประสงค์เพื่อรำลึกถึงผู้ที่ถูกสังหาร โดยรัฐซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนก่อนหน้า
การที่รัฐบาลควบคุมบังคับคนเสื้อแดงอย่างสุดขั้วนั้น ขัดแย้งอย่างยิ่งกับการผ่อนปรนให้กับการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีรูปแบบใกล้เคียงกันของผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย/กลุ่มคนเสื้อหลากสี และองค์กรของพวกเขาที่กระทำในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่มีใครถูกจับระหว่างที่นักกิจกรรมฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลนับพันชุมนุมที่ ลานพระบรมรูปทรงม้าและ ถ.สีลม ในการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ห้ามการรวมกลุ่มทางการเมืองใดๆ ในขณะที่คนเสื้อแดงชุมนุมที่ราชประสงค์นั้น เมื่อ 22 เม.ย. กลุ่ม “เสื้อหลากสี” ถูกตำรวจไล่ตามหลังจากผู้ชุมนุมเหล่านี้โจมตีที่ชุมนุมของคนเสื้อแดงซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า แต่คนเสื้อหลากสีนี้ก็ได้รับการอารักขาอยู่หลังแนวทหาร บันทึกวิดีโอได้แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารเล็งปืนมายังศีรษะของเจ้า หน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ระหว่างไล่จับกองกำลังของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล
ในช่วงเวลาของการดำรงตำแหน่ง รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้พยายามควบคุมการแพร่กระจายข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่ มีต่อเหตุการณ์ที่เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับรัฐบาลด้วยการใช้ พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อย่างเข้มข้น โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ [143] ที่แต่งตั้งโดยทหารผ่านกฎหมายนี้ออกมา เมื่อ 10 มิ.ย. 2550 โดยสิ่งที่แทรกอยู่ในเนื้อหาของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คือ บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการระบุความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อความใน คอมพิวเตอร์ “ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร … หรือ [] มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน [144] ซึ่งบทบัญญัติที่คลุมเครือนี้ ต้องตีความโดยอัตวิสัยอย่างยิ่ง และด้วยความดกดื่นของการสื่อสารด้วยอินเทอร์เน็ตซึ่งมีเครื่องมือทลายการปิด กั้นอย่างทรงพลัง ทำให้รัฐบาลพบว่ามีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายที่มีเนื้อหากีดกันเสรีภาพนี้ใน ทางตรงข้ามกับสิ่งที่กฎหมายบัญญัติ ในช่วงที่มีการชุมนุมรอบล่าสุด เว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลจึงถูกสั่งปิดกั้น (บล็อก) โดยไม่มีการยื่นเรื่องร้องขอต่อศาล
เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ซึ่งตั้งตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งตั้งหลังจากประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้เพิ่มมาตรการยับยั้งการเผยแพร่ข้อเท็จจริงที่รัฐบาลไม่ต้องการให้เปิดเผย และข้อมูลที่รัฐบาลไม่พอใจ ผ่านการบังคับใช้กฎหมายโดยอ้างตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยทั้ง ศอ.รส. และ ศอฉ. ได้ปิดกั้นเว็บไซต์โดยอ้างตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะที่เว็บไซต์ที่ถูกปิดนี้มักเกี่ยวข้องกับการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เว็บข่าวอิสระ และเว็บไซต์ที่เปิดให้แสดงความคิดเห็นรวมอยู่ด้วย [145] ทั้งนี้ ตามที่โฆษกรัฐบาลแถลงชี้แจง เว็บไซต์ที่ถูกปิดเนื่องจากเผยแพร่ข้อมูลที่ “เป็นเท็จ” อย่างเช่น “อภิสิทธิ์อนุญาตให้ใช้กำลังจัดการผู้ชุมนุม [146]
ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลได้ปิดสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม PTV นิตยสาร 5 ฉบับ สถานีวิทยุชุมชนซึ่งดำเนินการโดยผู้ชุมนุมเสื้อแดง ทั้งนี้โดยอ้างตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการปิดกั้นถือเป็นเรื่องจำเป็นอีกครั้งหนึ่ง โดยนายอภิสิทธิ์ระบุว่า “เพื่อฟื้นฟูสันติภาพและความสงบเรียบร้อยและเพื่อหยุดการเผยแพร่ข้อมูลที่ ผิดไปยังสาธารณชนชาวไทย” [147]
พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อ้างถึงสถานการณ์ที่รัฐบาลอาจจะระงับสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนได้หลาย ทาง ซึ่งก่อให้เกิดคำถามต่อความเหมาะสมของการประกาศใช้และการยืดอายุ พ.ร.ก.ออกไปอย่างไม่มีกำหนดโดยอ้างตาม พ.ร.ก. ในมาตรา 11 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลอย่างกว้างขวางที่สุด เป็นตัวอย่าง "ในกรณีที่สถานการณ์ฉุกเฉินมีการก่อการร้าย การใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคง ของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล" ข้ออ้างในการใช้อำนาจอย่างเผด็จการทำให้รัฐบาลต้องทำการรณรงค์ผ่านสื่อโดยมี เป้าหมายที่จะอธิบายภาพของคนเสื้อแดงว่าเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่ใช้ความ รุนแรงอันเป็นภัยต่อความเป็นเอกภาพและความมั่นคงของชาติไทย
รัฐบาลยังคงยืนยันเหตุผลในการบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉินฯ ต่อไปโดยกล่าวอ้างถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้การจัดการของ นปช. (และความเคลื่อนไหวในขอบเขตที่กว้างกว่าในนามของคนเสื้อแดง) รวมถึงข้อกล้าวหาว่าคนเสื้อแดงกำลังเคลื่อนไหวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการ เมือง
ตั้งแต่การชุมนุมเริ่มขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามทำให้ประชาชนรู้สึกว่าผู้ชุมนุมเสื้อแดงถูกจ้างหรือ ล้างสมองให้เข้าร่วมการชุมนุม แต่รัฐบาลยังใส่ใจ/ระวัง ที่จะย้ำว่า อย่างน้อยที่สุด ความคับข้องใจทางเศรษฐกิจของมวลชนเสื้อแดงเป็นเรื่องชอบธรรมตามกฎหมาย สิ่ง ที่เรียกกันว่า “แผนปรองดอง” ซึ่งนายกรัฐมนตรีประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคม มีคำมั่นสัญญาว่านโยบายทางสังคม ใหม่จะแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางสังคมที่ขยายไปทั่วประเทศได้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ละเลยวาระทางการเมืองของ นปช. เรื่องความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ในด้านหนึ่ง รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องความไม่ชอบธรรม และโต้เถียงว่า เขาได้ขึ้นสู่อำนาจผ่านกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ขณะที่อีกด้านรัฐบาลทำให้ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้มี “การทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย” กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าการกระทำที่ตั้งใจจะปกปิดเป้า หมายบางอย่างเอาไว้เบื้องหลัง
ข้อกล่าวหาที่ถูกนำมาใช้กับคนเสื้อแดงมากที่สุดคือการบอกว่า วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคือการสร้าง “รัฐไทยใหม่” ซึ่งจะทำให้ปราศจากสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะ และแทนที่ด้วยระบอบสาธารณรัฐที่ปกครองโดยประธานาธิบดี ซึ่งอย่างน้อยในช่วงเริ่มต้น สันนิษฐานกันว่าจะนำโดยทักษิณ ชินวัตร ข้อกล่าวหานี้มีความเป็นมาอย่างยาวนาน ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ฝ่ายตรงข้ามของทักษิณอ้างเหตุผลเรื่องความจำเป็นในการปกป้องสถาบันกษัตริย์ ในการต่อสู้เพื่อกำจัดเขาออกจากตำแหน่ง ข้อกล่าวหานี้ติดต่อมาถึงกลุ่มคนเสื้อแดง แม้ว่าแกนนำจะปฎิเสธเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงการค้นพบเครือข่ายซึ่งมีความสลับซับซ้อน และเกี่ยวพันกับแนวร่วมที่สมรู้ร่วมคิดกันโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ หลักฐานเพียงอย่างเดียวที่ ศอฉ. แสดงก็คือแผนผังที่ยุ่งเหยิงซึ่งโยงรายชื่อหลายสิบชื่อของแกนนำคนเสื้อแดง นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นักเขียน/บรรณาธิการสื่อที่เห็นต่าง อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักธุรกิจจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง อภิสิทธิ์ใช้ “การค้นพบ” นี้เป็นข้ออ้างในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยอ้างว่า อำนาจที่เพิ่มขึ้นมานี้จะช่วยให้ ศอฉ. ได้มองทะลุถึงแผนการและดำเนินการอย่างเด็ดขาดยิ่งขึ้นเพื่อปกป้องสถาบัน กษัตริย์ [148]
ในการแถลงของรัฐบาลต่อสาธารณะหลายครั้งนั้น จากเดิมที่คนเสื้อแดงถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้ถูกขยายจน กลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” คนเสื้อแดงถูกกล่าวหาว่ายั่วยุหรือกระทำการเพื่อให้เกิดความรุนแรง หลังสลายการชุมนุม รัฐบาลยื่นฟ้องข้อหาก่อการร้ายกับแกนนำ นปช.หลายสิบคนรวมถึงทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกกล่าวหาโดยปราศจากหลักฐานว่า เกี่ยวข้องโดยตรงกับการกระทำการก่อการร้ายและเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินแก่ การชุมนุม
อินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป กลุ่มแก้ปัญหาวิกฤติระหว่างประเทศ (International Crisis Group) ลงความเห็นว่า “เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายว่า บทบาทของทักษิณต่อเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเร็วๆ นี้ เข้าข่ายคำจำกัดความของการก่อการร้าย แบบที่แพร่หลายในระหว่างประเทศ” [149] แกนนำคนเสื้อแดง 10 คนไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ตั้งแต่หลังการปราบปรามเป็นต้นมา
แม้ว่า จะมีการใช้คารมที่เผ็ดร้อนของผู้ปราศรัยบางราย แต่แทบจะไม่มีหลักฐานใดเลยที่เชื่อมโยง นปช.และแกนนำหลักเข้ากับเหตุการณ์ความรุนแรงที่พวกเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ ลงมือกระทำ
ประการแรก รัฐบาลล้มเหลวในการหาข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่จะโยงแกนนำคนเสื้อแดงเข้ากับ เหตุระเบิดหลายสิบครั้งที่เกิดขึ้นกับธนาคาร กรมทหาร สถานที่ราชการ ที่ทำการพรรค บ้านพักส่วนตัวของนายบรรหาร ศิลปอาชา นักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาล ในช่วงเริ่มต้นการชุมนุม ถึงแม้จะมีผู้สังเกตการณ์บางรายมองว่า มีกลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากคนเสื้อแดงที่ได้ประโยชน์กว่ามากจากการสร้างบรรยากาศความกลัวที่ เกิดจากเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ แต่รัฐบาลกลับกล่าวหาคนเสื้อแดงโดยอัตโนมัติ เหตุระเบิดก่อนการชุมนุมจะเริ่มไม่นานนั้นเป็นเครื่องมือเพื่อให้รัฐบาล ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ขณะที่เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น มีความสำคัญในการใช้เป็นเหตุผลในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อีกด้านหนึ่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษประกาศโครมๆ ว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม คนเสื้อแดงวางแผนโจมตีวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของไทย ด้วยเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี แต่ล้มเหลว โดยอ้างอิงจาก “คำรับสารภาพ” ของชายคนหนึ่งซึ่งระบุว่า ได้รับเงินจากนักการเมืองคนหนึ่งให้ปฎิบัติการระเบิดครั้งนี้ [150] นับตั้งแต่รัฐบาลออกมากล่าวอ้างถึงแผนการดังกล่าว ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้อีกหลังจากนั้น
ประการที่สอง ขณะที่ยังไม่ทราบว่า “ชายชุดดำ” ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นผู้สังหารเจ้าหน้าที่ทหารระหว่างการปะทะกันเมื่อวัน ที่ 10 เมษายน เป็นใคร หน่วยรบพิเศษนี้ถูกมองว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ไม่ว่าจะเกษียณแล้วหรือยังปฎิบัติราชการอยู่ก็ตาม [151] แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่าคนเหล่านี้ทำงานให้กับคนเสื้อแดง โดยอาจปฎิบัติตามคำสั่งของพล.อ.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) แต่รัฐบาลก็ไม่เคยมีหลักฐานเพื่อสนับสนุนการกล่าวอ้างนั้น ในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ซึ่งเป็นสื่อที่สนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่า อาวุธ ปานะนันท์ คอลัมนิสต์หัวอนุรักษ์คาดการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า การสังหาร พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมน่าจะมีเกี่ยวข้องกับการที่กลุ่มทหารเสือราชินีและ “บูรพาพยัคฆ์ [152] ครองอำนาจในกองทัพ
ประการที่สาม รัฐบาลโทษว่าเป็นฝีมือของ นปช. โดยทันที หลังมีการโจมตีด้วยระเบิดเอ็ม 79 ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีศาลาแดง ระหว่างการเผชิญหน้ากันของกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่ม “เสื้อหลากสี” ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 เมษายน อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ขณะที่ผู้ต้องสงสัยซึ่งถูกจับได้ในตอนแรกกลับถูกปล่อยตัวอย่างรวดเร็ว ขัดกับการลงความเห็น ศอฉ. ที่ว่าระเบิดถูกยิงมาจากพื้นที่ชุมนุมคนเสื้อแดงใกล้กับอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 มีประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมฝั่งสนับสนุนรัฐบาลอ้างว่าระเบิดถูก ยิงมาจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง [153]
ประการที่สี่ รัฐบาลเตือนประชาชนหลายครั้งว่า กลุ่มคนเสื้อแดงมีอาวุธร้ายแรงและมีคลังอาวุธขนาดใหญ่อยู่ในที่ชุมนุม
หลายวันหลังเหตุสังหารหมู่ 13-19 พฤษภาคม ศอฉ.โชว์อาวุธซึ่งออกจะน้อยกว่าที่คาด โดยอ้างว่าถูกพบที่สี่แยกราชประสงค์ในระหว่างปฏิบัติการเคลียร์พื้นที่ต่อ ผู้สื่อข่าวและทูตานุทูตต่างประเทศ [154] ด้วยคลังอาวุธที่ไม่มากมายนัก เทียบกับตัวเลขผู้ประสบภัยที่ไม่ได้ดุลกันในการสลายการชุมนุมเผยให้เห็นว่า การมีอาวุธร้ายแรงในหมู่คนเสื้อแดงนั้นเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ จากการรายงานจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม คนเสื้อแดงตอบโต้ทหารด้วยอาวุธที่ทำขึ้นเองหรืออาวุธโบราณขนาดเล็ก ขณะที่มีผู้ชุมนุมน้อยกว่าหยิบมือที่ถูกพบจริงๆ ว่าใช้ปืนและระเบิด
ท้ายที่สุด รัฐบาลก็คงยืนยันว่าเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 39 แห่งนั้นเกิดขึ้นจาก “การวางแผนและการเตรียมการอย่างเป็นระบบ” [155] อย่างไรก็ตาม ศอฉ. ไม่สามารถอ้างหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามีการสมรู้ร่วมคิด แกนนำเสื้อแดงส่วนใหญ่ถูกควบคุมตัวแล้วในช่วงที่มีการวางเพลิงและได้ประกาศ ให้ผู้ชุมนุมสลายการชุมนุมไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คำถามที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องของเวลาที่เกิดเหตุที่หน้าห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ และความเสียหายจากการกระทำของกองทัพซึ่งส่งผลต่อความรวดเร็วในการเดินทางไป ยังที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเพื่อดับไฟ ที่เลวร้ายที่สุดก็คือมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเพลิงนั้นถูกจุดขึ้นด้วยความขุ่น ข้องหมองใจของผู้สนับสนุนฝ่ายเสื้อแดงในสภาพไร้การนำ ผู้ที่ได้รู้เห็นช่วงเวลาแห่งการสังหารหมู่ ซึ่งทหารได้คร่าชีวิตคนในครอบครัว เพื่อน และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของพวกเขา แต่แม้ในบริบทเช่นนั้นก็ตาม การทำลายอาคารพาณิชย์ที่ทำประกันภัยไว้อยู่แล้วถือเป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ ได้ ขณะที่โศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่ได้เปิดเผยตัวก่อนจะเกิดเหตุการณ์การวางเพลิง ที่คนเสื้อแดงถูกหาว่าเป็นผู้ก่อขึ้น กลับเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินกว่าจะเข้าใจได้
แม้จะขาดแคลนพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ แต่การวาดภาพคนเสื้อแดงในฐานะ “ผู้ก่อการร้าย” ก็สร้างเหตุผลสนับสนุนให้ฝ่ายรัฐบาลใช้อำนาจเผด็จการและอ้างเป็นความจำเป็น ในการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงอย่างที่เคยทำเมื่อวันที่ 10 เมษายนอีกครั้งและนำไปสู่การสลายไปของการประท้วงในวันที่ 19 พฤษภาคม
มันมีค่าควรแก่การหมายเหตุไว้ด้วยว่า การวาดภาพปีศาจอย่างเป็นระบบให้กับผู้ชุมนุมซึ่งเป็นฝ่ายนิยมประชาธิปไตย เพื่อสร้างการสนับสนุนจากสาธารณะให้แก่ฉากต่อเนื่องของความรุนแรงโดยรัฐ เป็นเทคนิคที่ถูกใช้มาอย่างยาวนานในประเทศไทย ในเหตุการณ์เมื่อไม่นานนี้ก็เช่นกัน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ผู้ประท้วงถูกวาดภาพว่าเป็น “นักปฏิวัติ” หัวรุนแรง ดังนั้นแล้ว รัฐบาลทหารจึงทำเช่นเดียวกับที่ทำอยู่ขณะนี้คือกล่าวหาผู้ประท้วงว่าต้องการ จะล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข[156] และเช่นเดียวกับที่ทำอยู่ขณะนี้ รัฐบาลทหารประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและประกาศว่าปฏิบัติการที่รุนแรงจะถูกนำมา ใช้เพื่อจัดการกับ “ผู้ก่อจลาจล” [157] เช่นเดียวกับที่ทำอยู่ขณะนี้รัฐบาลทหารอ้างว่าทหารยิงปืนเพียงเพื่อป้องกันตัว [158]
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบันกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นก็ คือ ในปี 2535 ผู้คนในกรุงเทพฯ แสดงท่าทีรังเกียจต่อการสังหารหมู่และความพยายามปกปิดการกระทำของทหาร ขณะที่ครั้งนี้คนชั้นกลางระดับบนในกรุงเทพฯ ปรบมือให้กับการสังหารหมู่ซึ่งรัฐบาลทหารดำเนินการด้วยแรงจูงใจที่จะหลีก เลี่ยงการเลือกตั้งซึ่งดูเหมือนว่าพรรคที่สนับสนุนต่อผลประโยชน์ของกลุ่ม อำนาจเก่าจะต้องพ่ายแพ้
การวาดภาพคนเสื้อแดงอย่างเป็นระบบโดยคณะทหารในปัจจุบันยิ่งเป็นการย้ำ เตือนอย่างเด่นชัดถึงวิธีการที่กองทัพใช้อ้างต่อสาธารณะในการฆาตกรรมนัก ศึกษาผู้นิยมประชาธิปไตยหลายสิบชีวิต ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยมีบางรายถูกข่มขืน ทรมาน ทำให้พิการ เผาทั้งเป็น [159] คล้ายกันกับคนเสื้อแดง นักศึกษาในธรรมศาสตร์ถูกกล่าวหาด้วยความเท็จว่ามีคลังแสงขนาดใหญ่อยู่ในหอ ประชุมของมหาวิทยาลัย คล้ายกันกับคนเสื้อแดง นักศึกษาเหล่านั้นถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ผ่านภาษาของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยการกล่าวถึงพวกเขาในฐานะสัตว์ชั้นต่ำ ไม่ใช่คนไทย และด้วยเพลง “หนักแผ่นดิน” ซึ่งเป็นเพลงปลุกใจที่มีชื่อเสียงมากในทศวรรษ 2520 (ถูกนำมาปัดฝุ่นครั้งล่าสุดโดยพันธมิตรฯ) และที่เหมือนกันอย่างมากระหว่างคนเสื้อแดงและนักศึกษาในยุคนั้นก็คือพวกเขา ถูกกล่าวหาว่ากระทำการคุกคามสถาบันกษัตริย์ ถูกแทรกซึมโดยต่างชาติ และเผยแพร่แนวคิดหัวรุนแรง ในปี 2519 นักศึกษาถูกป้ายสีว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” วันนี้รัฐบาลได้พัฒนาศัพท์ใหม่เพื่อให้เข้ากับบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยน ไปและปักป้ายให้กับคนเสื้อแดงว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย”
วิธีที่กองทัพจัดการกับคนเสื้อแดงนั้นชวนรำลึกไปถึงเหตุการณ์การปราบปราม นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 34 ปีที่แล้ว ในปี 2519 กองทัพอาศัยกองกำลังของกลุ่มฝ่ายขวาราชานิยมสุดโต่งซึ่งทำตัวเป็นศาลเตี้ย เช่นลูกเสือชาวบ้าน และกลุ่มกระทิงแดงในการสังหารหมู่นักศึกษา การใช้ความรุนแรงในครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ผสานสอดคล้องไปกับข้ออ้างในการทำรัฐ ประหาร เช่นเดียวกัน ในปลายเดือนเมษายน 2553 รัฐบาลก็อาศัยกลุ่มศาลเตี้ยซึ่งเป็นกองกำลังฝ่ายขวาราชานิยมซึ่งส่วนใหญ่ก็ คือมวลชนของพันธมิตรฯ ที่หันมาสวม “เสื้อหลากสี” ทำการยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้าที่มีแนวโน้มของความรุนแรงในพื้นที่สีลมก็ เหมือนกับที่รัฐบาลทหารชุดปัจจุบันเป็นอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลที่ถูกแต่งตั้งโดยทหารในปี 2519 (นำโดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งองคมนตรี) อยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อเหยื่อของการสังหารหมู่ นี่จึงเป็นเหตุให้เกิดการสร้างระบอบการปิดกั้นอย่างเข้มงวด สรุปอย่างรวบรัดชัดเจน ผู้ที่ฆาตกรรมนักศึกษาซึ่งไม่มีการกระทำผิดใดๆ ไล่ล่าฝ่ายต่อต้านอย่างไม่ลดราวาศอก กดดันผู้คนจำนวนหลายพันคนให้หลบหนีออกนอกประเทศหรือเข้าร่วมกับพรรค คอมมิวนิสต์ในภาคเหนือและอีสาน เป็นที่น่าสังเกตว่าในปี 2519 และปี 2553 นั้น การที่รัฐบาลวาดภาพปีศาจอย่างเป็นระบบให้กับผู้ชุมนุมเรียกร้องนั้นดูจะ ประสบความสำเร็จในการสร้างความหวาดกลัวให้กับชนชั้นกลางระดับบนในกรุงเทพฯ หรืออย่างน้อยก็รู้สึกมั่นคงกับการไม่แยแสของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่แตกต่างจากเหตุการณ์ความรุนแรงของรัฐในปี 2516 และ 2535 คือ การสังหารหมู่ในปี 2519 และ 2553 ไม่ได้ส่งผลให้พระมหากษัตริย์เข้ามาแทรกแซง
เส้นขนานทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงว่ากระแสการชุมนุมและความ รุนแรงระลอกล่าสุดนั้นมาจากต้นร่างเดียวกัน อันส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ 2516, 2519 และ 2535 จากกรณีทั้งหมดที่เกิดขึ้น คนเสื้อแดงเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” กลับถูกอธิบายโดยรัฐบาลว่าเป็นเพียงฉากหน้าของอุดมการณ์ที่คุกคามความมั่นคง แห่งรัฐไทย จากกรณีทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ คนเสื้อแดงมีส่วนร่วมในการก่อความรุนแรงบางประการ ปล้นสะดม และทำลายทรัพย์สิน ส่วนมากในสถานการณ์เมื่อพวกเขาถูกโจมตี แต่พวกเขาไม่ใช่ “ผู้ก่อการร้าย” ติดอาวุธ หรือ “นักปฏิวัติมาร์กซิสม์” ดังที่รัฐบาลอุปโลกน์ให้พวกเขาเป็น อย่างไรก็ตาม จากกรณีทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ข้อกล่าวหาเรื่องอุดมการณ์แบบสุดโต่งและมีแนวโน้มจะก่อความรุนแรงเป็น เครื่องมือสำคัญที่กองทัพสร้างขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกำหนดมาตรการ ปราบปรามพิเศษ และยิงผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธจำนวนมากได้ โดยได้รับการยกเว้นโทษอย่างเต็มพิกัด และอย่างที่เคยเป็นมา กลุ่มอำนาจเก่าของไทยตอบรับการเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยการทำลายความเป็น มนุษย์ของฝ่ายตรงข้าม ล้มล้างหลักนิติรัฐ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับที่กว้างขวาง
000
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
Comment here (เขียนความคิดตรงนี้นะ)