Suggestion Post

Review ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 6 อวสานหงสา

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ภาค 6 อวสานหงสา        ตอนสุดท้ายของตำนานแห่งประวัติศาสตร์ไทย บทสุดท้ายที่เล่าเรื่องของจุดจบของพ...

2557-12-08

Review The Huhhergame Part1 พร้อมด้วยแนวคิด


The Huggergame : Mockingjay Part 1

     หนังที่ทำให้เมืองไทยต้องสนใจ ไม่ได้สนใจในแง่อะไร ทว่ามีกลุ่มที่สนใจการแสดงสัญลักษณ์การชู 3 นิ้วจากหนังเรื่องนี้แล้วนำมาใช้ที่ทำให้บ้านเมืองต้องเกิดความขัดแย้ง  และสัญลักษณ์ของเรื่องนี้ถูกกลุ่มๆหนึ่งนำไปใช้ได้ตอนต้นปี 57 ที่ยังมีรบ.ปูบริหารอยู่ กลายเป็นเรื่องราวขัดแย้งกันในทางการเมืองมาก โดยกลุ่มคนเหล่านี้เอามาใช้เพื่อให้ได้เปรียบ  ทว่าในความคิดของเรากลับบอกว่า หนังเรื่องนี้มันน่าสนใจ อยากจะรู้ว่า มันใช่ความหมายเหมือนที่กลุ่มแดงได้ว่าไว้ไหม ที่บอกว่า เป็นความหมายของการต่อต้านเผด็จการ 

    จนบัดนี้ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้  ต้องบอกว่าแตกต่างกับที่กลุ่มแดงนำมาใช้กันคนละเรื่องเลยละ มันแตกต่างกันมาก หนังเรื่องนี้ทำมาเพื่อต่อต้านเผด็จการที่กดขี่ประชาชนที่เป็นเมืองขึ้น

หนังมีหลายภาค แต่จะขอเล่าในภาคนี้โดยมีเนื้อหาเล่าถึง เมืองหลวงแคท ที่มีปธน.สโนว์ที่มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจทุกอย่าง และกอบโกยผลประโยชน์จากประชาชน รวมไปถึงกดขี่ ข่มเหง เอาเปรียบประชาชนให้ตกอยู่ในความหวาดกลัว  (นึกถึงภาพของปธน.เกาหลีเหนือไว้ ระบบแบบนั้นแหละ)  ที่นี่ก็มีเมืองขึ้นอย่าง พาเน็มที่มีเขตปกครองหลายเขต ต่างก็ต้องส่งส่วยให้กับเมืองหลวงตลอดเวลา  ได้มีอารมณ์ลุกต่อต้านปธน.สโนว์ โดยมีตัวแทนที่เป็นศูนย์รวมจิตใจอย่าง แคทนิสหรือสาวน้อยม็อกกิ้งเจย์ ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสการต่อต้านปธน.สโนว์  โดยที่ทางปธน.สโนว์ก็จับตัวคนรักของแคทนิสไปต่อรอง แล้วก็บีบบังคับทรมานในรูปแบบต่างๆ  

สรุปโดยย่อคือ หนังที่ต่อต้านการกดขี่ และเอารัดเอาเปรียบปชช. จะเห็นภาพง่ายกว่า ก็คล้ายๆชาติที่พวกที่ปกครองสบายๆ แต่รีดเอาเลือดจากคนชั้นล่างๆ ถ้าเอามาเปรียบกับเมืองไทยนี่ต่างอย่างกับฟ้าและเหวเลยละ 

มีหลายฉากที่ต้องบอกว่า มันโหดเหี้ยมมาก อย่างฉากที่สะเทือนใจมากที่สุด คือฉากการจับตัวเหล่าม็อกกิ้งเจย์ แล้วนำมาประหารชีวิตต่อหน้าปชช.พาเน็ม  แล้วถูกปธน.สโนว์พูดข่มขู่   ฉากนี้เห็นแล้วสะเทือนใจมากๆ นี่ยังไม่นับหลายๆฉากที่หนังเรื่องนี้ได้ฉายมาก่อนหน้านี้นะ 

ต่อมาก็ฉากปชช.พาเน็มในเขต 8 ที่สู้จนบาดเจ็บไปเยอะ สาวน้อยแคทนิสของเราเลยต้องไปให้กำลังใจกับปชช.ที่นั้น แต่หารู้ไม่ว่า ปธน.สโนว์ได้ส่งเครื่องบินรบมาทิ้งระเบิดหวังจะทำลายปชช.ที่นั้น ด้วยข้อหา กบฏที่สนับสนุนม้อกกิ้งเจย์  ในฉากนี้มีฉากชู 3 นิ้ว อารมณ์นั้นขอบอกเลยว่า มันเป็นอารมณ์ของคนที่ถูกกดขี่ และถูกเอารัดเอาเปรียบ จนแม้กระทั้งชีวิตก็ยังไร้ค่า ได้ลุกขึ้นมาสู้ แล้วลุกกับเผด็จการของปธน.สโนว์ที่ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น

ฉากชู 3 นิ้ว มันคือสัญลักษณ์ของการต่อต้านเผด็จการที่เลวร้ายในทุกรูปแบบ หาใช่การต่อต้านบุคคลที่ทำเพื่อปชช.  และไม่ใช่สัญลักษณ์ของการทำให้มีประชาธิปไตยแต่อย่างใด เพราะมันไม่ได้หมายถึงคำว่า เสรีภาพ ภราดรภาพ และเท่าเทียม  มันคือสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์ และไม่ใช่มีไว้เพื่อเอาไว้กดขี่ ต่อต้านใครด้วย

หนังเรื่องนี้จากที่สังเกตเห็นในเหล่าม๊อกกิ้งเจย์จะมีวัยรุ่นเยอะมาก หาได้มีรุ่นพ่อรุ่นแม่เท่าไร ในรุ่นพ่อรุ่นแม่จะเห็นในเขตอื่น แถมไร้อาวุธด้วยนะ  เป็นการตอกย้ำว่า วัยรุ่นจากม๊อกกิ้งเจย์ ยังมีศักยภาพในการต่อต้านเผด็จการ มากกว่า รุ่นพ่อรุ่นแม่  เหล่ารุ่นพ่อแม่ทำหน้าที่สู้ในแบบของปชช.ธรรมดาๆ 

แต่หนังเรื่องนี้ก็ต้องยอมรับนะว่า ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ สร้างความขัดแย้งในอุดมการณ์การปกครองกับสังคมโลก เพราะหนังเรื่องนี้คงเอาไปฉายในชาติที่มีการปกครองแบบกดขี่ โหดร้าย เช่น เกาหลีเหนือ ซีเรีย ยูเครน อียิปต์ อิรัก  หรือชาติอื่นๆที่มีแนวโน้มหัวรุนแรง ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะขืนเอาไปฉายคงถูกแบนและต่อต้านแน่ๆ แต่มันถูกเอามาฉายในเมืองไทยได้ง่ายๆ โดยไม่มีการปิดกั้น ยกเว้นแต่รบ.อยากปิดเอง 

จำได้ว่าหนังเรื่องนี้จะได้ฉายแต่ต้นปี 57 แต่เลื่อนมาเรื่อยๆจนได้ฉายในรบ.คสช.นี่ละ  คิดแล้วก็ขำนะ หนังต่อต้านเผด็จการแต่ได้การยอมรับในการแสดงออกฉายในรบ.คสช.ที่ยึดอำนาจรบ.ปูมา  ทว่าก็เข้าใจได้ว่า หนังเรื่องนี้มันแตกต่างกับ คสช. ตรงที่ ในหนังเค้าจะปฏิวัติ  ส่วนของจริงในไทยเราดัน รัฐประหาร ..

ถ้าจะให้อธิบายก็ง่ายๆ คือ ม้อกกิ้งเจย์เป็นกบฏที่จะล้มล้างระบอบเผด็จการทหารของปธน.สโนว์  ให้กลายเป็นระบอบการปกครองอื่นๆ  ส่วนรัฐประหารของไทยคือ การยึดอำนาจจากรบ.เก่า เพื่อขึ้นเป็นรบ.ใหม่ ส่วนระบอบปกครองเดิมยังอยู่เหมือนเดิม   

นี่คือความแตกต่างที่ง่ายที่สุดที่ทำให้ รบ.คสช.ไม่แบนหนังเรื่องนี้ เพราะมันไม่ได้ถูกเสี้ยมให้มาต่อต้านรบ.ที่ยึดอำนาจ แต่หนังเรื่องนี้ถูกเสี้ยมให้ล้มล้างการปกครองต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหนังเรื่องนี้ถูกเสี้ยมให้มาล้มล้างการปกครองปชต.อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปเป็นระบอบการปกครองอื่นๆ นั้นละถึงค่อยแบนหนังเรื่องนี้ ...


ฉากที่เหล่าม๊อกกิ้งเจย์ถูกฆ่า เหล่าปชช.พาเน็มต้องหวาดกลัว แล้วทำงานให้ปธน.สโนว์ พอได้ดูแล้วนึกถึงฉากฆ่าล้างมนุษย์ที่ตากใบ กรือเซะ และตอนสงครามยาเสพติด รวมไปถึง การลอบฆ่า ก่อการร้ายจากเหล่าโจรทั้งหลายที่มีเจ้านายสั่งอะ  ในใจทำให้นึกถามขึ้นมาว่า  เค้าทำผิดมากจนถึงต้องฆ่าเค้าอย่างเลือดเย็นเลยหรือ แถมด้วยอยากรู้ว่า คุณเห็นพวกเค้าเป็นเพื่อนมนุษย์ หรือเป็นของเล่นที่ให้บันเทิงกับตนเองกันแน่

เมื่อดูหนังเรื่องนี้ ขั้นแรกต้องดูที่มาว่า เหตุใด พาเน็มถึงต้องการ ปชต. เค้าเข้าใจถึงคำว่า ปชต.มากแค่ไหน และเมื่อดูแล้วสิ่งที่ทำให้พวกเค้าต่อต้าน ปธน.สโนว์คืออะไร แล้วอะไรทำให้พาเน็มถึงต้องการการปกครองปชต. มากกว่าเผด็จการทางความคิด ทางการกระทำ และทางปัจจัย4

อย่างที่ดูหลายคนก็คงไม่ได้สนใจ แต่เราที่ดูกลับสนใจว่า  ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดมาจากพฤติกรรมของสังคม และสภาพแวดล้อมที่ทำให้สังคมต้องเข้มแข็ง เพื่อป้องกันการถูกทำลายเผ่าพันธ์ุทิ้ง ตามกฏธรรมชาติของชาลล์ ดาร์วินที่ผู้แข็งแรงกว่าย่อมอยู่รอด  ในหนังมันคือภาพของสังคมที่ต้องเอาตัวรอดจากผู้เข้มแข้งที่เหนือกว่าอย่างปธน.สโนว์ที่มีอำนาจ

สิ่งที่พาเน็มต้องการคือ ปชต. แล้วพาเน็มรู้ว่า แบบใดคือปชต. ก็สังเกตง่ายๆว่า การปกครองของพาเน็มเป็นไปอย่างหลวมๆ มีการพูดคุย แสดงความเห็น และให้เกียรติกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ เป็นเสรีภาพที่เข้าใจกันและกันในความแตกต่าง ไม่ใช่เสรีภาพที่จะทำทุกอย่างตามความต้องการอย่างปธน.สโนว์นะ   แค่นี้เราก็คิดว่า มันคือประชาธิปไตย แล้วละ


เมืองไทยนี่โชคดีนะที่มีประชาธิปไตยที่มีเสรีเยอะมากเกินกว่ากำหนด แถมเยอะเกินจนไม่ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ เยอะจนมันกลายเป็นเผด็จการไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าเมืองไทยเป็นชาติที่ปชช.กำลังเข้าสู่ยุคเผด็จการทางความคิด และการกระทำตามใจตนเอง อย่างปธน.สโนว์ก็เห็นว่ามันใช่เลยแหละ  พอมีคนที่อยากจะเป็นกบฏมาขัดขวางการคิดแบบเสรีเผด็จการ เหล่าเผด็จการที่เสรีทั้งหลายก็พยายามต่อต้านสิ่งนั้นๆ เห็นแล้วก็ต้องยอมรับว่า เมืองไทยมีการพัฒนาระบบเผด็จการไปไกลกว่าหนังเรื่องนี้สุดๆ

สุดท้ายนี้ ต้องขอบอกว่า 3 นิ้วมีไว้เพื่อลุกขึ้นสู้กับเผด็จการที่เลวร้ายทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเผด็จการเสรีทางความคิด เผด็จการทางปัจจัย4 เผด็จการทุนนิยม เผด็จการบุคคลนิยม หรือเผด็จการอำนาจนิยม นั้นเอง ดังนั้นมันคือสัญลักษณ์ของ การให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ไม่ใช่การมองว่า ใครสูงใครต่ำ ใครรวย ใครจน แต่มันคือสัญลักษณ์ของเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันแม้จะแตกต่างกัน


















2557-09-03

ถกพท.พิพาทไทย-เขมรเพื่อน้ำมันอ่าวไทย

ถกพท.พิพาทไทย-กัมพูชาเพื่อน้ำมันอ่าวไทย

หัวข้อข่าว
ไทยหวังเพิ่มสำรองก๊าซ30% ถกพื้นที่ทับซ้อนกัมพูชา'ยุติ'พลังงานหนุนรัฐเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชากว่า 2.6 หมื่นตารางกิโลเมตร ชี้หากสำเร็จช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของก๊าซในอ่าวไทยและเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซได้เพิ่ม 30% ยืดอายุการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยได้นานขึ้นอีก 10 ปี "รสนา" ระบุการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน ควรเป็นหน้าที่สปช. ย้ำไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน


การร่วมเดินทางไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของคณะของพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกรรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา การเดินทางไปหารือร่วมกับคณะผู้แทนรัฐบาลของกัมพูชา ไม่ได้มีประเด็นเกี่ยวกับกระทรวงพลังงานเป็นพิเศษ เนื่องจากมีผู้แทนจากกระทรวงคมนาคม,กระทรวงเกษตรและสหกรณ์,กระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมเป็นการกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือในโครงการต่างๆ ทั้งการคมนาคม การค้า การเกษตร ด้านพลังงาน
นายคุรุจิต นาครทรรพ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่าฝ่ายไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับกัมพูชาเต็มที่ ในส่วนของกระทรวงพลังงาน มีเรื่องของความร่วมมือด้านไฟฟ้า การพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่ได้ข้อยุติ คาดว่าหลังการเยือนกัมพูชาครั้งนี้ ทางกระทรวงการต่างประเทศ จะตั้งคณะบุคคลเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการที่มีอยู่เดิม เพื่อเริ่มต้นการเจรจาซึ่งจะมีผู้แทนของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติร่วมอยู่ด้วย
ชี้สัญญาณดีแก้พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา
นายคุรุจิต กล่าวว่า การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งไทยและกัมพูชา หากสามารถหาข้อยุติได้เร็ว เนื่องจากกระบวนการเข้าไปสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียม จะใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี จึงจะนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ได้ ในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ถึงแม้จะยังไม่ได้มีการเปิดให้เข้าไปสำรวจ แต่เป็นพื้นที่มีศักยภาพที่จะพบปิโตรเลียมจำนวนมาก
“กรอบการเจรจาเรื่องนี้ มีคณะกรรมการชุดเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่รัฐบาลต้องตั้งบุคคลเข้าไปใหม่ การเริ่มต้นเจรจาจะเป็นบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ การเยือนรัฐบาลกัมพูชาครั้งนี้ เสมือนเป็นการเปิดศักราชใหม่ ที่จะเริ่มต้นเข้าสู่การเจรจา“ นายคุรุจิต กล่าว
ย้ำสำเร็จช่วยเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซ
หากการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาสำเร็จ จะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมของไทย ปัจจุบันปริมาณสำรองก๊าซที่พิสูจน์แล้วว่าจะเหลือเพียง 7 ปี ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งเป็นก๊าซที่มีคุณสมบัติทางเคมี เหมาะต่อการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ปัจจุบันมีก๊าซจำนวนหนึ่งที่ต้องส่งผ่านไปเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม โดยไม่ได้ผ่านโรงแยกก๊าซ ไม่สามารถที่จะยืนยันปริมาณสำรองก๊าซได้ว่าจะมีเพียงพอ ให้กับโรงแยกก๊าซที่จะตั้งขึ้นใหม่เป็นเวลา 25 ปีหรือไม่ แต่หากมีแหล่งก๊าซจากพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทยกับกัมพูชาเข้ามาเพิ่ม เป็นไปได้ที่บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) จะลงทุนสร้างโรงแยกก๊าซแห่งที่ 7 และแห่งที่ 8 เพิ่ม
ส่วนความร่วมมือผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม ที่มีแหล่งผลิตน้ำมันดิบให้หยุดส่งออกเป็นการชั่วคราว จากปัจจุบันที่มีการส่งออกไปต่างประเทศวันละ 20,000 บาร์เรล ได้มีหนังสือเพื่อขอความร่วมมือล่วงหน้ามาแล้ว 3-4 เดือน ทำให้ผู้รับสัมปทานไม่ได้ส่งออกน้ำมันดิบไปขายต่างประเทศแล้ว
ทั้งนี้ได้หารือกับผู้บริหารของบริษัทเชฟรอน ประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานแหล่งผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ในประเทศ ยืนยันที่จะให้ความร่วมมือ โดยน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากแหล่งในประเทศ จะถูกส่งเข้ากลั่นที่โรงกลั่นในประเทศทั้งหมด
ไทยคาดเจรจาสำเร็จเพิ่มสำรองก๊าซได้30%
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่าการเจรจาปัญหา พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่มีพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้เคยเสนอแนวทางที่ให้ยึดตามแนวข้อตกลงเอ็มโอยู ปี 2554 เป็นการแบ่งการเจรจาเป็นสองส่วน คือพื้นที่ตอนบน แบ่งพื้นที่ตามหลักเขตแดน ซึ่งฝ่ายทหารและฝ่ายความมั่นคงรวมทั้งกระทรวงต่างประเทศ จะเป็นผู้เจรจา
ส่วนที่สอง เป็นพื้นที่ทับซ้อนจะพัฒนาร่วมกัน (Joint Development Area -JDA) หากการเจรจาได้ข้อยุติเร็ว จะทำให้ทั้งไทยและกัมพูชาได้รับประโยชน์ เนื่องจากสถานการณ์ราคาปิโตรเลียม ทั้งในส่วนของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ยังอยู่ในระดับสูง หากเจรจาสำเร็จฝ่ายไทยคาดว่าจะเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติในประเทศได้เพิ่มประมาณ 30% ยืดอายุการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยได้ยาวขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 10 ปี
กัมพูชาเตรียมเปิด"โททาล"เข้าสำรวจ
ที่ผ่านมาไทยให้สิทธิ์สำรวจแก่เอกชน เมื่อปี 2514 แต่มติครม.ปี 2518 ได้ให้ยุติการสำรวจ หลังทราบว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน แต่ในส่วนของกัมพูชาก็ได้เปิดเอกชนเตรียมเข้าสำรวจเช่นกัน ล่าสุด บริษัทโททาล เป็นผู้ได้สิทธิ์จากรัฐบาลกัมพูชา เนื่องจากสิทธิของรายเดิมหมดอายุ
ก่อนหน้านี้ ไทยได้ตกลงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไป 2 รูปแบบกับ 2 ประเทศ คือในส่วนพื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย มีการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมร่วมกันและพบว่ามีปริมาณสำรองประมาณ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต มีข้อตกลงแบ่งผลประโยชน์ฝ่ายละครึ่ง โดยมีองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย เป็นนิติบุคคลเป็นผู้ดูแลผล
ส่วนพื้นที่ทับซ้อนไทย-เวียดนาม มีข้อตกลงการแบ่งเขตแดนระหว่างกัน โดยเวียดนามได้พื้นที่ 33% ไทยได้พื้นที่ 67% ส่วนของแหล่งอาทิตย์ที่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. ผู้ถือหุ้นใหญ่และได้มีการผลิตขึ้นมาแล้วประมาณ 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
"รสนา"ชี้เจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไม่เหมาะ
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทย (จปพ.) กล่าวว่าตนสงสัยว่าพล.อ.ธนะศักดิ์ ใช้สถานะในตำแหน่งใดไปเจรจาเรื่องดังกล่าว เรื่องดังกล่าวควรนำไปพิจารณาในสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จากการติดตามข้อมูล พบว่าพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร ยังไม่ถือว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน แต่เป็นพื้นที่พิพาท เพราะยังไม่มีการขีดเส้นที่ชัดเจน โดยปี 2515 ที่นายพลลอน นอล เป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เคยมีการขีดเส้นพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา แต่พบข้อโต้แย้ง จึงทำให้รัฐบาลช่วงนั้นที่มีจอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ขอให้เจรจารอบใหม่ แต่ช่วงนั้นกัมพูชามีปัญหาทางการเมืองจึงทำให้การเจรจาไม่เกิดขึ้น
“การแบ่งประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ในพื้นที่พิพาทระหว่างไทย-เขมร ควรจะให้เป็นเรื่องของสปช. ที่จะดำเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนมากที่สุด การเจรจาเพื่อพัฒนาพื้นที่และความร่วมมือต่อการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมไทยกับเขมร ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งเจรจา” น.ส.รสนา กล่าว
นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) กล่าวว่าการเจรจาประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนไทย-เขมร ทราบว่ามีการประสานกันมาอยู่ตลอด อย่างไรก็ตาม มองว่าการเจรจาผลประโยชน์ทางพลังงานรัฐบาลคสช.ไม่ควรดำเนินการ ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากเนื้อข่าวนี้ ขอวิคราเะห์และเปิดประเด็นต่างๆ ดังนี้
1.เมื่อก่อนในอดีตเคยมีการพูดว่า  "พท.พิพาทไม่มีเรื่องของน้ำมันในอ่าวไทย" จากปากของก.พลังงาน หรืออธิบดี สมัยรบ.พท.  ซึ่งจากคำตอแหลในวันนั้น จึงเห็นชัดในวันนี้ว่า  ได้มีการสำรวจว่าจะขุดเจาะน้ำมันในพท.พิพาทอ่าวไทย ที่มีเกาะกูด เขตแดนไทยอยู่ โดยที่ยังตกลงกันเลยปักเขตแดนไม่ได้  ก็มาทำการเร่งขุดเจาะ แบ่งสัมปทานกันแล้ว  ..คือมันจะรวดเร็วเกินไปไหม..?  กับการเร่งคุยกันเรื่องน้ำมันเนี่ยะ
2.น้ำมันในอ่าวไทยในส่วนที่เป็นพท.พิพาท 1/2 แสน แล้วลากเส้นแดนกินมายังเกาะกูดของไทยนั้น ยังไม่ทำการตกลงเขตแดนตามมติศาลโลกที่ให้ "ไทยไปเจรจากำหนดพท. ร่วมกัน ว่า จะเป็นส่วนไหน ใน 1/2 แสน "(ทั้งนี้พท.พิพาทนี้คือ บริเวณรอบๆปราสาทพระวิหารที่ ไทยไม่ต้องการปราสาทแต่สงวนพท.ตามสันปันน้ำเอาไว้เท่านั้นตาม MOU ฝรั่งเศสที่ทำแต่แรกในสมัย ร.5)  โดยศาลโลกให้ไทยกับเขมรไปคุยกันเรื่องพท.ตามแผนที่ 1/2แสน ที่ศาลโลกเองก็ยังไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่า พท.พิพาทเป็นเขตแดนของใคร แต่จีน่าเชื่อว่า มันคือพท.ของไทยตามสเกลพื้นที่มาตรฐานสากล และคิดว่าในยุคสมัยนี้แล้ว แผนที่ 1/2แสนเป็นแผนที่ๆไม่มีความหมายเพราะมันให้เส้นเขตแดนไม่ชัดเจน เนื่องจากมันกว้างมาก ดังศาลโลกว่าไว้
3.รบ.คสช.กำลังปล่อยให้ ก.พลังงาน หรือ ทีมงานของปตท. เข้าทำการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของอ่าวไทยแบบที่คนไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย หรือเปล่า  รบ.คสช.ไม่ควรปล่อยให้ทีมงานปตท.หรือ ก.พลังงานกระทำสิ่งใดโดยง่ายนะ
4.จากเนื้อข่าว หากสมมุติว่า เราขุดน้ำมันขึ้นมาได้ แล้วมีใช้สำรองแค่ 30 % เราจะต้องนำเข้าน้ำมันหรือก๊าซจากต่างประเทศมาอีกไหมเอย  ในเมื่อ จากคำพูดของก.พลังงานและปตท.ที่ชอบโฆษณาว่า  "ไทยไม่มีน้ำมันเพียงพอต่อการใช้งาน"  ใช้ 143ล้าน มี  23 ล้าน นำเข้ามาอีก 127 ล้าน โดยขายให้คนไทยใช้ในราคาส่งออก จากตลาดกำหนดราคาสิงคโปร์ด้วยไหม เหตุผลที่ไทยใช้ราคาสิงค์โปร์   
ซึ่งจีน่าคิดเสมอว่า เมื่อทุกประเทศในเอเชียใช้ราคาจาก ตลาดกำหนดราคา(คล้ายๆโอเปค) นี้ ย่อมหมายความว่า ราคาในแต่ละประเทศต้อง ใกล้เคียงกัน และราคาของไทยต้องใกล้เคียงกับมาเลยเซียที่สุด ใช่ไหม  แล้วเหตุใด ราคาจึงยังคงแพงกว่ามาเลย์เกือบเท่าตัวเช่นนี้ แล้วหากมีการขุดน้ำมันในอ่าวไทยพิพาทไทย-เขมรขึ้นมานี้ เราก็จะมีก๊าซเพิ่มขึ้น มีน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยใช้ราคาจากตลาดราคาสิงคโปร์ด้วยไหม  ได้อ่านเหตุผลของปตท.ในเรื่องของตลาดราคาแล้ว ไม่สมเหตุผลในเรื่องของ กลไกตลาดขึ้น-ลง เพราะไม่ได้สะท้อนราคาการใช้งานจริง ไม่ช่วยให้ราคาเป็นไปตาม Supply and demand แต่อย่างใด เพราะปตท.ใช้ฐานราคาจากการส่งออกน้ำมันของตลาดสิงค์โปรที่มีทุกประเทศทำการซื้อ-ขาย  แล้วตลาดในไทยละ เกี่ยวข้องกับการส่งออกน้ำมันไปยังต่างประเทศด้วยไหม
แล้วเหตุผลของปตท.ก็สวะมากในการอ้างอิงว่าไทยจะขาดแคลนน้ำมัน หากกำหนดราคาต่ำกว่าเพื่อนบ้าน แล้วยังไงละ!!  ทุกวันนี้เราก็พูดเสมอว่า ไทยขาดแคลนน้ำมัน ต้องนำเข้ามากลั่นเองในราคาแพงกันอยู่ แล้ว ขนาดกลั่นเองขายแพงยังมาบอกว่า ไทยไม่มีน้ำมันเพียงพอในการใช้งาน..
5.ทุกวันนี้เราใช้น้ำมันแพง เพราะ
- น้ำมันใช้ราคาตลาดสิงคโปร์
- น้ำมันดิบ(ราคาตลาดสิงคโปร์) + ราคากลั่นน้ำมัน + ภาษี กับกองทุนน้ำมัน เข้าไปด้วย  
6.น้ำมันที่ใช้กันทุกวันนี้   น้ำมันดิบผลิตได้จากปตท. หน้า 6 - 7
- มาจากไทย 23 ล้านลิตร
- นำเข้า 127 ล้านลิตร
- ใช้ในไทย 143 ล้านลิตร  
- ส่งออก ไม่รู้ เพราะปตท.ไม่ได้บอกไว้ บอกแค่ว่า นำเข้าน้ำมันดิบเข้ามากลั่นแล้วส่งออกขายในราคาอะไรไม่รู้ (ไม่รู้ใช้ราคาตลาดสิงคโปรไหม) (ไม่รู้ว่าส่งออกขายไปแล้วจำนวนแค่ไหน) (หวังว่าปตท.จะใช้ราคาสิงค์โปร์ในการส่งออกนะ)
6.น้ำมันที่ขุดขึ้นมา แม้จะบอกว่า เป็นบ่อเล็กๆ ขุดมาได้น้อย แต่ก็ยังให้ส่วนแบ่ง(คอมมิชชั่นในการขาย) กับรบ.ไทยแค่ 15 % เอง ที่เหลือ ปตท.ได้กำไรหมดเลยละ  รบ.ไทยก้บ้านะ ให้สัมปทาน ปตท.ไปก็เยอะ ดันเอา คอมมิชชั่นแค่นี้เอง..
7.บ่อน้ำมันในอ่าวไทยนี้ ที่กระสันอยากจะเอาสัมปทานไม่ได้คิดว่าจะมีแค่น้ำมันหรอกนะ  มันจะมีก๊าซธรรมชาติด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่ขุดมาจากอ่าวไทยเอาไปใช้ ผลิตไฟฟ้า ทำแก๊สบ้าน ขนส่ง  ฯลฯ แต่ก็ยังขายราคาแพงใกล้เคียงกับน้ำมันเลยละ 
- ไม่รู้ว่าหลังจาก ปตท.กับกรมพลังงาน พูดคุยกับเขมรเรื่องแบ่งพื้นที่อ่าวไทยที่มีน้ำมัน(และก๊าซ)แล้ว โดยยังไม่รู้ว่า เป็นพื้นที่ของใครเพราะยังกำหนดเขตแดนไม่ได้นั้น จะได้ค่าคอมมิชชั่นเข้าก.คลัง กี่บาทน้า (แล้วเข้ากระเป๋าข้าราชการ นักการเมือง ขี้ข้าทั้งหลายทั้งปวงกันกี่บาทน้าา..)
8.ก๊าซธรรมชาติก็เป็นเรื่องหลอกลวงอีกเรื่อง คือ ก๊าซที่ผลิตในอ่าวไทยทั้งหมด ถูกส่งไปใช้ในโรงงานเคมี(ผลิตพลาสติก ฯลฯ)ในราคาแสนถูก ... แต่บ้านเรือน ร้านตามสั่งข้าวแกง การไฟฟ้าฯ ใช้ก๊าซธรรมชาตินำเข้าจากพม่า มาเลย์..ในราคาแสนแพง..
-น่าคิดนะว่า การไฟฟ้าฯ ไม่ได้ใช้ก๊าซจาก อ่าวไทยตามที่เคยโฆษณาไว้อย่างนั้นหรือ ในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้วยังเรียน ประถมอยู่เลย  จำได้นะว่า ชอบพูดว่า จะไม่มีก๊าซแล้วจึงต้องประหยัด อย่าใช้ไฟฟ้าเยอะ เพราะเราผลิตไฟฟ้าจากก๊าซอ่าวไทยนะ  แล้วตอนนี้ละคะ เมืองไทยมีก๊าซอ่าวไทยเพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้าหรือยัง  (หรือเพียงพอต่อการผลิตพลาสติก โฟม สิ่งของเครื่องใช้เคมีภัณฑ์ทั้งหลาย แต่ไม่เพียงพอแบ่งไปให้การไฟฟ้าฯ)
ราาคาแก๊สทุกวันนี้
-ผลิตเองในราคาต้นทุนแสนถูกจากอ่าวไทย เพราะขุดเองเจาะเอง (ส่งขายโรงงานพลาสติก)
-ตามสั่งบ้านเรือน การไฟฟ้าฯใช้แก๊สนำเข้า (นำเข้าอย่างหรูนะ ของอินเตอร์เลย) 
-ต้นทุนแก๊สโรงงาน = ก๊าซอ่าวไทย + กลั่น + ภาษี
-ต้นทุนแก๊สบ้านเรือนตามสั่ง  =  ก๊าซนำเข้าจากพม่า มาเลย์ (ราคาเท่าไรไม่รู้)+ กลั่น(แยกก๊าซไปใช้ในแบบต่างๆ) + ภาษี 
-ส่งออกก๊าซธรรมชาติขาย ไม่รู้ เพราะไม่ได้บอกไว้ แต่คาดว่าน่าจะมีการส่งออกขายไปยังต่างประเทศด้วยเพราะคงขายใมห้โรงงานเคมีเพียงพอจนเหลือขายส่งออกตปท.แน่ๆ แต่เป็นก๊าซจากอ่าวไทยนะ ไม่ใช่ก๊าซนำเข้าจากพม่าและมาเลย์
9.สรุปแล้ว รบ.คสช. ยินยอมให้เขมรเข้าร่วมการจัดสรรแบ่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ไทย ไปแล้วหรือไม่ เพราะเมื่อก่อนไทยกับเขมรมีการสู้รบกันเพราะปัญหาเรื่องของน้ำมันนี่ละ แล้ววันนี้จะให้จัดสรรกันง่ายป่านเยี่ยงนี้เลยหรือค่ะ ไม่น่าทำน้า ไม่คุ้ม!
10.ก.พลังงาน โดยอธิบดี ร่วมกับ ก.ต่างประเทศไปเยือนกัมพูชาถึงถิ่นเพื่อเจรจาจัดสรรพื้นที่น้ำมันกัน ว่างมากเลยหราคะ ?
11.  จากข้อความนี้ 
ปัจจุบันมีก๊าซจำนวนหนึ่งที่ต้องส่งผ่านไปเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม โดยไม่ได้ผ่านโรงแยกก๊าซ ไม่สามารถที่จะยืนยันปริมาณสำรองก๊าซได้ว่าจะมีเพียงพอ ให้กับโรงแยกก๊าซที่จะตั้งขึ้นใหม่เป็นเวลา 25 ปีหรือไม่ แต่หากมีแหล่งก๊าซจากพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทยกับกัมพูชาเข้ามาเพิ่ม เป็นไปได้ที่บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) จะลงทุนสร้างโรงแยกก๊าซแห่งที่ 7 และแห่งที่ 8 เพิ่ม
ส่วนความร่วมมือผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม ที่มีแหล่งผลิตน้ำมันดิบให้หยุดส่งออกเป็นการชั่วคราว จากปัจจุบันที่มีการส่งออกไปต่างประเทศวันละ 20,000 บาร์เรล ได้มีหนังสือเพื่อขอความร่วมมือล่วงหน้ามาแล้ว 3-4 เดือน ทำให้ผู้รับสัมปทานไม่ได้ส่งออกน้ำมันดิบไปขายต่างประเทศแล้ว
ทั้งนี้ได้หารือกับผู้บริหารของบริษัทเชฟรอน ประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานแหล่งผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ในประเทศ ยืนยันที่จะให้ความร่วมมือ โดยน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากแหล่งในประเทศ จะถูกส่งเข้ากลั่นที่โรงกลั่นในประเทศทั้งหมด

เป็นการให้ข้อมูลว่า เรามี 
1)ก๊าซที่ถูกนำไปใช้ที่โรงงานเคมี กับการไฟฟ้าส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ส่วนหนึ่งที่พูดมานี้มันมีแค่ไหน อาจจะ ให้เคมี 70/30 ก็ได้ หรือ 70/15/15 (เคมี/ไฟฟ้า/ส่งออก)
2) มีการส่งออกไปยังต่างประเทศจริง โดยอาจจะเป็น
- น้ำมันดิบของไทยทีขุดในไทย ยังไม่กลั่น โดยปตท. หรือ บจ.อื่นๆที่ขุดเอง
- นำเข้าน้ำมันดิบมากลั่นส่งออก
-นำเข้าน้ำมันดิบมาส่งออก
แต่จากข้อความที่บอกว่า "ขอความร่วมมือผู้รับสัมปทาน (หมายถึงเชฟรอนหรือบจ.ที่ได้พื้นที่ขุดเจาะน้ำมัน) ก็หมายถึงว่า "น้ำมันที่ส่งออกไป 2 หมื่น บาร์เรล( ก็ 25 ล้านลิตร  = 23 ล้านลิตร ที่ปตท.บอกว่าผลิตเอง) โดยขุดมาจากในไทย " (ไม่รู้ว่าน้ำมันนำเข้าที่ปตท.บอกว่านำเข้ามากลั่นส่งออกนั้นหยุดส่งออกด้วยไหมแล้วก็ไม่ก็ไม่รู้ว่า ปตท.ส่งออกน้ำมันไปเท่าไร)
- น้ำมันส่งออกไปต่างประเทศ 2 หมื่น บาร์เรล (ประมาณ25 ล้านลิตร)   (1)
-ปตท.บอกว่า ผลิตได้เอง ขุดเอง ใช้เอง  23 ล้านลิตร  (ใช้ในไทยไหมก็ไม่รู้) (2)  ปตท.สำรวจและผลิตน้ำมันเองตามนี้
ปตทดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมผ่านบริษัทในกลุ่ม ปตทได้แก่ บริษัท ปตทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) ซึ่งประกอบธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำนวน 41 โครงการ เป็นโครงการลงทุนในประเทศไทยจำนวน 16 โครงการ ลงทุนในพื้นที่พัฒนาร่วม 1 โครงการ ลงทุนพื้นที่คาบเกี่ยว 1 โครงการ และลงทุนในต่างประเทศ 23 โครงการ ใน 11 ประเทศ ได้แก่ สหภาพพม่า เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย โอมาน อัลจีเรีย อียิปต์ บาห์เรน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา


- มีน้ำมันสุทธิ (1) + (2) = 48 ล้านลิตร ..ที่เป็นน้ำมันไทยขุดในไทยใช่ไหมเอย..
ทั้งนี้  25 ล้านลิตรนี้ ไม่ได้มี ปตท.เป็นผู้ส่งออกและรับสัมปทานเท่านั้นแต่มีบจ.อื่นๆเป็นคนขุดเจาะด้วย ดังจากที่เห็นในคลิบนี้ 


โดยกรมพลังงานบอกไม่มีการลักลอบผลิต เพราะมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้รัฐถูกต้อง ตาม ข่าวขุดน้ำมันเพชรบุรณ์ ที่เจ้าของอาจจะเป็นคนฮ่องกงรายใหญ่มากๆ ถึงมากที่สุดที่ขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่นี้ จนถึงขั้นทำให้ คสช.ที่ตอนแรกเข้าควบคุมพื้นที่ต้องล่าถอยไปแบบไร้ร่องรอยแล้วมีการให้ข่าวปฏิเสธของกรมพลังงานเชื้อเพลิงว่า ไม่มีการลักลอบขุดเจาะ และบจ.ฮ่องกงจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้ถูกต้อง

นี่คือ บจ.อื่นๆ ที่ปตท.รับซื้อน้ำมันดิบเอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ ไปกลั่นขายในไทย กลั่นขายส่งออก หรือ เป็นนายหน้าส่งออกขายน้ำมันดิบก็ไม่รู้สินะ ..ทั้งที่ปตท.ก็มีบจ.สำรวจขุดเจาะน้ำมันอยู่แล้ว ยังรับซื้อน้ำมันดิบจากบจ.ฮ่องกงอีก  นึกว่าจะทำเพียงแค่นำเข้าน้ำมันมากลั่นส่งออก แล้วก็กลั่นขายในไทยนะเนี่ยะ

สรุปยังไงคะ  ...

3) จากข้อความนี้

ทั้งนี้ได้หารือกับผู้บริหารของบริษัทเชฟรอน ประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานแหล่งผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ในประเทศ ยืนยันที่จะให้ความร่วมมือ โดยน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากแหล่งในประเทศ จะถูกส่งเข้ากลั่นที่โรงกลั่นในประเทศทั้งหมด

ทำให้ได้ข้อสรุปว่า 
3.1) เชฟรอนคือบจ.ขุดเจาะน้ำมันดิบ แล้วขายให้ปตท. เพียงเจ้าเดียว
3.2)เชฟรอนจะส่งน้ำมันดิบเข้าโรงกลั่นในไทยทั้งหมด ในเวลานี้ โดยไม่ส่งไปเข้าโรงกลั่นต่างประเทศ
3.3)เมื่อมีโรงกลั่นต่างประเทศ ก็มาคิดสิว่า น้ำมันดิบที่ขุดได้ในไทย ราวๆ ?/25ล้านลิตร  ถูกส่งออกไปแปรรูปขายยังต่างประเทศ หรือเปล่า
-เชฟรอนอาจจะขุดมาได้แล้ว ขายปตท.ให้กลั่นใช้ในไทย 70 แล้วส่งออกไปประเทศบจ.แม่ 30 ก็เป็นได้นะคะ
เอาเป็นว่า จากการเปิดประเด็นและวิเคราะห์ตามเนื้อข่าวพร้อมกับข้อมูลของปตท.ที่มีการตอบโต้และให้ข้อมูลมานั้น สามารถให้ข้อกระจ่างชัดว่า  แม้ปตท.จะเขียนข้อมูลสรุปเอง และปกป้องตนเองก็ยังมีการผิดพลาดในหลายส่วน  เดวก็บอกว่า ผลิตเองขายในไทย ใช้ราคาตลาดสิงคโปร์ เดวก็บอกว่าไม่ได้ผลิตแต่นำเข้ามาแปรรูปเอง จีน่าก็สงสัยว่า ปตท.คงเป็นโรคอัลไซเมอร์แน่ๆ เพราะในหน้าเวปไซต์ปตท.เอง ยังให้ข้อมูลขัดแย้งกันเองเลยละ 
ทั้งนี้จีน่าก็ยังไม่สนับสนุนให้ คสช.ทำการคุยกันเรื่องน้ำมันในพื้นที่พิพาทนี้ เพราะจะมีปัญหาต่อไปในอนาคตแม้จะบอกว่า ให้แบ่งปันพื้นที่น้ำมันกันก็ตาม  แล้วหากในอนาคตมีการจัดสรรพื้นที่สันปันน้ำพระวิหารเรียบร้อยแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
1.หากพื้นที่สันปันน้ำเป็นของไทยแล้ว พื้นที่ทะเลน้ำมันจะเป็นของไทยโดยสมบูรณ์ (ตามมาตรฐานแผนที่สเกลสากลที่ใช้ได้จริง)แล้วเมื่อคสช.ยินดีให้เขมรมาคุยกันเพื่อจัดสรรน้ำมันกัน เข้ามาผลิตน้ำมันแล้ว แบบนี้จะเป็นการล่วงล้ำมาในอาณาเขตไทยไหมค่ะ  คสช.จะยินดีไปไล่เขมรที่มาขุดน้ำมันตรงเกาะกูดไทยไหมคะ
2.หากพื้นที่สันปันน้ำเป็นของเขมรอันนี้ เราก็คงถูกเขมรบี้ไล่ออกจากพื้นที่เช่นกัน 
3.จีน่าก็พอจะรู้ว่าที่เขมรสู้กับไทยมาทุกวันนี้ เพราะน้ำมัน จึงมัวแต่มาแย่งบริเวณเขาพระวิหารนั้นละ ส่วนเรื่องมรดกโลกเป็นผลพลอยได้อันดับ 2 ต่อจากน้ำมัน
4.อย่าเอาพื้นที่น้ำมันในอ่าวไทยมามีเอี่ยวในเกมการเมืองนี้เลยค่ะ จีน่าก็รู้นะว่า ที่เขมรมาประจบตอแหลเพราะอะไร ..เพราะเป็นเงื่อนไขที่ปล่อยวีระใช่ไหมละคะ ทั้งนี้จีน่าไม่เชื่อว่า เขมรจะปล่อยวีระออกมาง่ายๆโดยไม่ยื่นเงื่อนไขออกมาแน่ๆคะ
5.ขอให้คสช.ควบคุมไอ้กรมพลังงานหน่อยคะ อย่าให้งาบมากนักคะ



ที่มา  ..  ปตท.   









2557-06-29

Review "เที่ยวทะเลแหวก ดำน้ำอ่าวนาง ตัวเมืองกระบี่"

เที่ยวทะเลแหวก ดำน้ำอ่าวนาง ตัวเมืองกระบี่

ในที่สุดก็ได้เวลาของการ รีวิวการท่องเที่ยวทริบกระบี่ ทัวร์ดำน้ำทะเลแหวก อ่าวนางแห่งเมืองกระบี่
จดจำได้ว่า วันที่ไป คือวันที่ 18/4/57 - 20/4/57 ไปเที่ยว 3 วัน 2 คืน เป็นทริปเที่ยวที่สนุกและตื่นเต้นมากที่สุด มีเรื่องประทับใจและเรื่องขำๆ ปนไม่ประทับใจหลายเรื่อง  ทริปนี้เป็นทริปที่ใช้เวลาวางแผนล่วงหน้า 1 เดือนเลย เพราะว่าต้องจองที่พัก และตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถทัวร์  หลายๆอย่างก็ดูจะกระชั้นชิดนะ กว่าจะได้อะไรลงตัวก็ทะเลาะกับแฟนไปหลายรอบแล้ว 555

ก่อนที่จะไปเที่ยวแบบเต็มๆ ก็ทำการนั่งเสริจช์หาข้อมูลในอินเตอร์เนตนี่ละ ก็ต้องขอบคุณ อากู๋ google.com ที่ช่วยทำให้ค้นพบการเดินทางท่องเที่ยวที่สนุกในครานี้  

สิ่งที่ต้องทำก่อนอันดับแรก

1. เลือกก่อนว่าจะเดินทางอย่างไร จะพักที่ไหน จะไปเมื่อไร กี่โมง

-  บริการของจีน่าในทริปนี้ คือ ขาไปใช้บริการเครื่องบินแอร์เอเชีย แต่ขากลับใช้บริการของรถทัวร์ เป็นอะไรที่ดูขัดหูขัดใจตนเอง ตอนแรกอยากไปทั้งขาไปและกลับ แต่งบเดินทางเกินจากที่ตั้งไว้เลยเลือกกลับด้วยรถทัวร์ (แหะๆ)

เข้าเวปไซต์   Airasia.com   ดูราคาลดในตอนนั้น คนละ 890 บาท มาเจอรวมภาษีนู้นนี่นั้น(มีค่าโหลดน้ำหนัก 2 คน และอีกหลายอย่าง ทั้งค่าภาษีสนามบิน ค่าน้ำมัน ค่าvat7% ) ปาเข้าไป เกือบ 3000 บาท !!!  (เห็นราคาแล้วจะเป็นลมมม!!)  เลยไม่เอาไม่จองกับเวปแอร์เอเชีย  เลยนั่งหามา 2 วันสุดท้ายมาลงที่เวปไซต์  expedia.co.th  จองตั๋วของสายการบินแอร์เอเชียเช่นกัน ราคา 890 บาท (มีค่าธรรมเนียมของเวปด้วย 300) และมาตัดสินใจเอาตอนท้ายๆ  ขอซื้อบริการโหลดน้ำหนักเพิ่มอีก 300บาท /1คน สิริรวมจ่ายไป 2600 บาท ถูกกว่ากัน 400 บาท แต่ที่นั่งที่ได้นั่งอยู่ริมทางเดิน ไม่ได้นั่งติดกัน แต่ก็ดีหน่อยตรงที่ไม่เสียภาษีอื่นๆ รวมถึงประกันเดินทางอะไร เพราะดูแล้วน่าจะรวมในราคาค่าธรรมเนียมแล้ว โดยเลือกไปเที่ยวบินเย็นๆ ออกตอน 5 โมง ต้องเช็คอินก่อนล่วงหน้า 1 ชม.

ต่อมาก็มาเลือกรถทัวร์บขส. จอง 2 ที่นั่งจากกระบี่กลับกทม. คนละ 700 บ.มั้ง รวมแล้ว 1400 บ.คะ นั่งรถทัวร์แอร์  2 ชั้น อย่างดีมีของว่างนิดหน่อย จ่ายค่ารถทัวร์ที่ 7-11 เสร็จแล้วก็มาเลือกโรงแรมที่พัก  ในตอนแรกคุยกันว่า ไฟลท์ที่เลือกบินนั้นเป็นช่วงเย็นจะไปถึงที่พักในเมืองก็ราวๆ 18.30 น. ก็เลยเลือกหาที่พักถูกๆในตัวเมืองอยู่ไปก่อน (ตอนหลังมารู้ว่า ไม่น่าเลือกที่พักในเมืองเลย เพราะความไม่สะดวกหลายอย่าง)  ก็เลยตกลงใช้บริการของเวป booking.com  โดยรวมเวปนี้ใช้งานง่ายและมีบริการวางแผนการเดินทางกับจองการเดินทางที่อธิบายง่ายกว่าอีกเวปไซต์หนึ่ง

ที่พักในเมืองที่พักแรกเลยที่เลือกใช้ คือ กระบี่คอนโดเทล  ราคา 800 บาท/คืน เป็นห้องพักแอร์ ดูสะอาดสะอ้านดังในภาพ แต่มานั่งดูรีวิวของคนเคยพักแล้วก็ไม่เข้าใจว่า ทำไม คะแนนโหวตให้น้อยมาก แต่ก็ตกลงจองห้องนี้เอาไว้นอน 1 คืนในวันที่ 18/4/57   (ชอบการจ่ายเป็นเงินสด เหมือนให้จองไว้แล้วจะไปพักเมื่อไรก็จ่ายเงินสดเลย)

ที่พักแห่งที่ 2 จองเอาไว้เป็นโรงแรมกระบี่เฮอร์ริเทจ เป็นโรงแรมระดับกี่ดาวไม่รู้ รู้แต่ว่าราคากับคุณภาพน่าจะโอเค เพราะไปดูรีวิวแล้วคะแนนสูงเอาเรื่องเลยละ  แถมอยู่ใกล้กับชายหาดอ่าวนางด้วย ก็จองห้องแอร์เอาไว้ในราคา 1,080 บาท (จ่ายด้วยบัตรเครดิต ไม่มีชาร์จ) จองเอาไว้ซุกหัวนอนคืนวันที่ 19/4/57

จากนั้นก็รอเวลาให้ถึงวันหยุดอย่างใจจดใจจ่อ 555

2.วันไปเที่ยว วันขึ้นเครื่องบิน

ออกจากบ้านตอน 13.00น.  แต่ยังมีเวลาเหลืออีกบานเลยไปแวะเซ็นทรัลลาดพร้าว  หาของอะไรกินก่อนขึ้นเครื่อง หิ้วกระเป๋าแพคไป 3 ใบ มี ล้อลาก 1 ใบ เป้ใส่คอม 1 เป้ส่วนตัว 1 และก็กระเป๋ากล้องเล็กๆ 1 ใบ
ทำอะไรในห้างเสร็จ กดเงินเตรียมเดินทางเที่ยวเรียบร้อย งบกินเที่ยวแหลก แบบไม่จ่ายอะไรมาก เพราะจะซื้อเยอะ สิริ 7,000 บาท

-ค่าเสียหายข้าวเที่ยว ฮาจิบัง 450 บาท
-รถแท็กซี่ไปเซ็นทรัลลาดพร้าว 60 บาท และไปดอนเมือง 60 บาท โดยประมาณ


เดินทางไปถึงสนามบินด้วยเวลาก่อนเช็คอิน ตอน 14.30น. 
ไปถึงรอให้ประตูเช็คอินเปิดตอน 15.00 น.ก็ไปนั่งรอ 
สลัดช่วยชีวิต

แล้วเดินเข้าร้านสวนจิตรลดา ซื้อสลัดมา 2 ห่อ น้ำ 1 กล่อง นั่งกินสลัดไปแค่ 1 กล่องหมดเงินไป 60 บาท ได้มั้ง แต่ขอบอกว่า สลัดอร่อยมากเลยนะ กินแล้วฟินสุดๆ


จากนั้นพอถึงเวลาก็เดินเข้าเช็คอิน ชั้งน้ำหนักกระเป๋า ทั้ง 3 ใบรวมแล้ว 12 โลกว่าๆ สรุปคิดถูกจริงๆที่ซื้อโหลดใต้เครื่องมา 1 คน ส่วนอื่นคนก็ไม่ได้ซื้อก็ให้แบกกระเป๋าใบเล็กๆขึ้นเครื่องไปตามปกติ พอเคลียร์เอกสารก็รับตั๋วเดินทาง 2 ใบ ไปรอที่จุดพักผู้โดยสารในอาคารเพื่อรอขึ้นเครื่อง ระหว่างรอก็เข้าเซเว่นซื้อขนมกับน้ำกินรองท้องไป


 แล้วนั่งรอเครื่องบินเปลี่ยนยางเข้าเทียบท่า สายการบินแอร์เอเชีย ไฟล์17.30 น. บนเครื่องก้ตามปกติ แต่ตอนขาลงจากเครื่องบินนี่ละสิ หนาวสะท้านปวดใจไปตามๆกัน  กัปตันบินคราวนี้ ฝีมือเยี่ยมมากๆนะ แม้จะลงจอดกระแทกไปนิดนุงก็ตาม



เครื่องบินเที่ยวนี้มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น   ลงจอดไม่ได้!   พายุเข้า !! ที่สนามบินกระบี่...


นั่งสวดภาวนาแล้วว หลังจากกัปตันบอกว่า อาจจะลงจอดได้อีกครึ่งชั่วโมง  สิ่งที่วางแผนไว้ว่าจะไปถึงห้องพักตอน 6โมงครึ่งเป็นอันตกไป  เครื่องบินวนรอบๆสนามบินกระบี่รวมๆแล้วหลายสิบเที่ยว   ส่วนจีน่าก็กำลังจะตายเพราะ ในหูจีน่า ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ขยับปากพูดกับใครก็ไม่ได้ เส้นประสาทตึงเครียด  ไม่ได้เครียดเพราะกลัวเครื่องบินจะตกนะ  แต่รู้สึก "เมื่อไรเครื่องจะลง ช้านเจ็บหู.."    จีน่าเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

หูมันเริ่มอื้อแล้วเส้นแก้วหูมันรู้สึกเหมือนแรกดอากาศดึงเส้นจนตึง ถ้าไปขยับคอให้มีการกระแทกเมื่อไรจะรู้สึก แก้วหูแตกแน่ๆเลยละ  ปวดไปหมด ปวดคอ ปวดหู  ในใจก้คิดว่าเมื่อไรจะลงจอดสักทีเว้ยยยยย... แล้วก็คิดถึงเจ้าที่เจ้าทาง เทวดาขึ้นมา รู้สึกว่า  "เฮ้ยย หรือว่าเจ้าที่เจ้าทางเค้าจะไม่อยากให้เรามาลงที่กระบี่นี้"  นั่งคิดวิตกไปต่างๆนานาๆ ก็สวดมนต์ขอให้เจ้าที่เจ้าทาง เทวดาที่รักษาสถานที่นี้ ช่วยคุ้มครองให้ลงจอดได้ไวๆ   หลังจากนั่งภาวนาไปครึ่งชั่วโมง เครื่องบินก็ลงจอดด้วยเอาล้อหลังลง กระแทกจนคิดว่า ก้นจะพัง ฮืออ ๆๆ   ฝรั่งคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าช้านนี่ร้องห่มร้องไห้เลยละ แต่จีน่ากลับคิดว่า "เฮ้ออ  หูชั้นจะได้หายสักที "
 ถึงแล้วสนามบินกระบี่ !!




นั่งรอสัก10นาที ก็มีรถชัสเตอร์บัสมารับที่เครื่องบิน พออกมาฝนก้ตกเบาๆแล้วละ และเห็นภาพชัดเลยว่า เครื่องบินจอดเกือบชนอาคารผู้โดยสารแล้วว  "แม่เจ้าเอยย!"  รู้สึกถึงช่วงของการผจญภัยครั้งแรกกับการขึ้นเครื่องบิน ทั้งที่ก็ไม่เคยกลัวเครื่องบินนะ


เอาละ !! มาถึงก็รอรับกระเป๋า ออกจากประตูมาเจอช่องขายตั๋วรถชัตเตอร์บัสจาก สนามบิน ถึง อ่าวนาง  ราคา 150 บาท ต่อเที่ยว


แต่ครั้งนี้เรากำลังจะไป 
ที่พักกระบี่คอนโดเทล 
ก็ซื้อตั๋วในราคา 80บาท /คน  ได้ตั๋วมาแล้วก็มี
รถมาจอดรออยู่เลย     เยี่ยม!!

<<  ราคาค่ารถบัส ดูตามหลังบัตรเลยนะจ้ะ



ขึ้นรถบัสไปแล้วนั่งแถวกลางๆ ได้นั่งแบบก้นเปียกๆเพราะฝนตกน้ำหยดลงมาโดนเบาะรถ  "เฮ้ยย รถแม่งสภาพเก่าเจงๆ มะมีเงินบำรุงกันเลยยย "  แต่ก็นะ เครื่องมือทำมาหากินเค้านี่นะ   นั่งรอสักพักก็ออกตัวเข้าตัวเมือง ผ่าน กะฉึก กะฉัก ปู๊นๆ
 (เว้ย..มะใช่รถไฟ..เอ้าหรา แฮะๆ) 

ทางเข้าที่พัก(กลางวัน)
หน้ากระบี่คอนโดเทลจนถึงปากซอยลิบๆ 1 กม.

ตอนกลางคืนก็มืดมองทางไม่เห้นมองไปทางซ้ายเห้นแต่อะไรก็ไม่รู้  พอขับไปสักพักรถก็วิ่งไปจอดที่จุดจอดรถกลางสำหรับเข้าตัวเมือง  สุดท้ายก็ยังหาที่พักไม่เจอ จนมีคนขับพาไปส่ง จนถึงบางอ้อ!!

มีน้ำร้อน

ความสะอาดของห้องพักสุดยอดมากทั้งเตียง ตู้
โต้ะ เหมือนยังทำความสะอาดตลอดเวลา
เป็นจุดเด่นของบริการที่นี่ แม้จะไม่ค่อย
สะดวกในการเดินทางเข้าที่พักสำหรับคน
ที่ไม่มีรถส่วนตัวและอื่นๆ ก็ตามที












ทางเข้ามองเห็นแต่ป้ายบอกว่าอยู่ในซอยตรงเข้าไปอีกสักระยะ เป้นซอยมืดๆเปลี่ยวๆมีบ้านคนอยู่ 3-4หลังเอง

ตอนแรกตั้งใจว่า ถ้าลงจากเครื่องบินเอาของไปเก็บที่พักแล้วจะเข้าตัวเมืองไปหาอะไรกินสักหน่อยแต่นี่โฮกาสไม่อำนวย ฝนตกพายุเข้า แถมรวงร้านค้าไม่มี รถไม่มี เลยจำใจเอาสลัดจิตรลดามากินแก้วหิวกันพร้อม มาม่าๆ  ฮืออๆๆ  สุดท้ายก็อาบน้ำเพื่อเตรียมเข้านอน


แต่ห้องพักที่นี่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไม คะแนนโหวตถึงได้น้อยเพราะว่า สะอาดก็จริงแต่ไม่มีของใช้จำเป็นนอกจากน้ำดื่ม กับสบู่ แชมพู นิดๆ แล้วพอดีจีน่าไม่ได้ซื้อยาสีฟันมาด้วย กะว่ามาถึงจะมาซื้อที่สนามบินกระบี่ สุดท้ายเลยไม่ได้แปรงฟัน นอนหลับอุตุแบบตื่นมาเช้าอีกวันเป็นเวลา ตีห้า  ..

แต่ขอบอกเลยว่า แฟนจีน่าก้อดทนมากนะ นอนไม่หลับ ตาบวมๆตอนเช้า มาปลุกจีน่าตอนตีห้าเพื่อนั่งรถเข้าไปหาอะไรกินในตลาดตัวเมือง  เอิ่มม..จิบอกว่า สภาพแฟนดูไม่ได้คร้าาา เหมือนโจรหน้าเมาที่กำลังจะข่มขืนสาวน้อยเรยคร้าา -/\-"

ในใจคิดว่า อะไรจะเกิดก้ต้องเกิดแล้วละ หลังจากเมื่อวานเจอเครื่องบินดีเลย์ หาไรกินไม่ได้ เช้าวันนี้จีน่าทำใจกับสภาพที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไปแบบมึนๆงงๆ ลุกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินออกไปรอรถตรงสี่แยกคลองจิหลาด ตั้งแต่ตีห้าจน 6โมงเช้า จนพึ่งมีรถของคุณลุงที่จีน่าไปโบกๆไปมาๆ จนเค้าจอดรับเพื่อไปส่งยังตลาดในเมือง ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณลุงผู้ใจดีคนนั้นจริงๆกับการเอื้อเฟื้อไปส่งยังตลาดตอนเช้า

ตลาดสดตอนเช้าในเมืองกระบี่

 

เดินเข้าไปมองหาร้านอาหารมีแต่ร้านมุสลิมกับร้านอาหารจำพวกไก่ๆ  แต่ตอนเช้าๆกินยังไม่ลง สุดท้ายมาลงตัวที่ร้านขายโจ๊ก สั่งไป 1  ชามเล็ก 25 บ.

และแฟนสั่งข้าวหมกไก่ 30บ. แถมด้วยก๋วยจั้บ 30 บาท  สรุบเช้านี้ก็รอดตายจากมื้อเมื่อวานไปแบบเฉียดฉิว  (ราคารวม 85 บ. ราคาเบาๆ)

 ..และด้วยความที่แฟนจีน่ากำลังทำตัวเป็นผู้นำที่ดี กลัวไม่มีน้ำดื่มแบบเมื่อคืน จึงลุยไปเซเว่นไปซื้อน้ำและขนมตุนเอาไว้ในห้องพักหมดไปร่วม 200 บาท (อุดส่าไปไกลสุดท้ายมาจบที่ เซเว่นอีเลเว่น =O=")

ห้างโวค
นั่งรถกลับห้องพักด้วยราคารถ 2 แถวกระบะสีแดง
ที่เขียนว่า "วิ่งเฉพาะในตัวเมืองกระบี่" 
ไปขึ้นที่ห้างที่ใหญ่สุดในเมืองกระบี่  "ห้างโวค" 
เดินจากตลาดมายังถนนหลักสัก 2-3ซอยเจอรุปปั้นก็
อยู่ด้านซ้ายมือเลยละ   

สมัยเด็กเคยมาครั้งนุงจำได้ว่ามันก็ดูใหญ่ดีพอโตมาอีกที ทำไมมันเล็กจังว้าา  แต่อาหารการกินก็ครบเครื่องอยู่นะ สินค้าในระดับหรูทีเดียว ราคา 2 แถวคนละ 20 บ./คน (ขึ้นรอบที่ 1หมดไป 40บ.)

  
แผนที่เมืองกระบี่

กลับถึงที่พักกระบี่คอนโดเทลพร้อมถ่ายรูปชมวิวไปด้วย ด้วยอัตราการตื่นเต้นปนเหนื่อยยาก 555

3.เดินทางล่องทะเลอ่าวนาง ดำนำดูปะการัง วันที่ 2 ของการเดินทาง

-ทริบนี้ได้รับการอานิสงค์จากแฟนไปหามา จากเวปไซต์   ทัวร์อ่าวนางทะเลแหวก  เจอทริบดำน้ำดูปะการังด้วยเรือหางยาวราคาคนละ 450 บาท ตอนแรกเถียงกันว่าจะไปเรือเร็วดีไหมเพราะเวลาไปกลับดูน่าจะไป-กลับเร็วกว่าเรือหางยาวนะ  แต่ก้มานั่งเถียงกันจนจีน่ายอมนั่งเรือหางยาวด้วยใจวิตกว่า "ขึ้นเรือแล้วเรือจะจมเรือเล็กไปอะไรแบบเนี่ยะ "

เมื่อตกลงปลงใจได้แล้วจีน่าจึงจัดการโทรไปหาบจ.ทัวร์ทริปนี้ให้เค้าส่งใบเสนอราคามา ถูกกว่าในหน้าเวปไม่เท่าไร ก็คนละ 380บ./คน ก็ไปโอนเงินส่งใบแจ้งเงินเก็บเอกสารไว้รอรถมารับที่หน้ากระบี่คอนโดเทล บจ.ทัวร์บอกว่าจะส่งรถมารับหน้าที่พักเลยให้เตรียมตัวรอได้

เช้าวันท่องเที่ยว

 หลังจากกลับจากหาอะไรกินที่ตลาดในเมืองเรียบร้อยก็เก็บกระเป๋าเดินทาง ได้ของแถมมาคือกระเป๋าใส่ขนมอีก 1 ใบ (คิดไว้แล้วว่าต้องมีของเพิ่มเลยเตรียมถุงผ้าไปใส่ ^//\\^)

รถที่มารับคือรถสองแถวแบบยาวๆ สีฟ้าเทา คันใหญ่ มีที่นั่งสองฝั่งและตรงกลางด้วยก็ขึ้นรถไปแบบทุลักทุเลมากๆ 555  รถวิ่งจากสี่แยกคลองจิหลาดมุ่งหน้าไปยังหาดนพรัตน์ธารา ขับด้วยความเร็ว80-100กิโล/ชม. เห็นจะได้เพราะตอนรถเข้าโค้ง ตัวกระเด็นเลยจ้าาา...

ในที่สุด !!  ก็มาถึงหาดนพรัตน์ธารา ทะเลสวยน้ำใส ที่ขึ้นชื่อเรื่องของการท่องเที่ยว เป้นสถานที่ในเขตของอุทยานที่สวยที่สุดเลย


 มาถึงสถานที่แล้วก้มีไกด์จากบจ.ทัวร์ไกด์ท้องถิ่น ผิวเข้ม แบบคนสเปนเลย อิอิ  ไกด์คนนี้มีดีที่มุกขำๆและหน้าตา ชื่อ " ชาติ"  พูดภาษาอิงลิชอย่างคล่องๆ   จนจีน่าอายไปเลย 555  

ระหว่างรอขึ้นเรือก็เช็คชื่อ เช็คจำนวนเผื่อมีใครตกหล่นไปไหน และแล้วก็ได้เวลาขึ้นเรือ ..



เรือข้างๆของทัวร์
เมื่อเจอเรือหางยาวก็ อะเครคะ เรืองามทีเดียวได้อารมณ์ชิลๆ ตอนจะขึ้นเรือจีน่าขึ้นเป็นคนสุดท้ายเพราะว่า พวกกระเป๋าเดินทางไม่ได้เอาไปฝากไว้ที่บจ.ทัวร์ต้องแบกเอาไปขึ้นเรือด้วย ก็ขึ้นไปทีหลังเอากระเป๋าไปวางไว้ชั้น 2 ของเรือ

ส่วนจีน่ากับแฟนก็นั่งอยู่ตรงหัวเรือเลยเจ้าคะ ปีกเรือทางขวา เป็นสถานที่แดดส่องถึงหน้าเต็มที่และก็สนุกด้วย ได้เห็นอะไรชัดเจนกว่าใครอื่น

เรือสีขาว
เดินทางออกจากเกาะ










เรือออกเดินทาง !!
วิ่งไปทะเลแหวกกันเลย ..
เก็บบันไดขึ้นเรือ
ทางด้านซ้ายและขวาของเรือเจอประภาคารอะไรสักอย่างของ
กรมท่าเรือบ่งบอกว่ากำลังออกจากหาดนพรัตน์ธารา















คลื่นน้ำทะเล
น้ำใสมากกก..
ท้องฟ้าสีสดใส ประกายน้ำทะเล

แสงจากสวรรค์ส่องมารำไร

น้ำสีฟ้าเขียวใสๆ


บรรยากาศ
ทะเลแหวก มองลิบๆ
..ทะเลใส..





ถึงแล้ว ทะเลแหวก...เริ่มเข้าใกล้เกาะที่เป็นทางเชื่อมที่คนสามารถเดินได้
ตอนที่น้ำทะเลลงและขึ้น พอเริ่มใกล้ถึงเกาะน้ำทะเลจะเริ่มสีฟ้าใส แล้วออกเขียวใส 
บ่งบอกสภาพน้ำได้ดี มีเห็นตัวปลาการ์ตูนเล็กๆมาเล่นด้วย


 ปลาไม่ค่อยกลัวคนนะ มีแต่คนกลัวปลา 555
ทะเลแหวก คนเดินผ่านทะเล




บรรยากาศนำชมเที่ยวเล็กๆ ในช่วงจอดเรือเทียบเกาะเพื่อเล่นน้ำในเส้นทางที่
กล่าวว่า 
เป็นทะเลที่มหัศจรรรย์ที่สุด 
เท่มว้ากก
คนเล่นน้ำเยอะและสนุกเฮฮา

เหล่าคนขับเรือและลูกเรือ 

เกาะไก่ 
         
มองเห็นเป็นอะไรดี 555



อธิบายวิธีจับเม่นหนาม

ดำนำชมปะการังเล่นกับปลาการ์ตูน 

ปลาแถวนี้ไม่กลัวคนคะ ดำน้ำ ดำฝุด
ดำว่าย ทั้งที่ตนเองไม่เคยใส่สน๊อคเกิ้ล 
เล่นอยู่ 30 นาที เหนื่อยบรรลัยเลย..!! 
ใครว่าดำน้ำไม่เหนื่อยใช้พลังงานน้อยขอเถียงคะ!!


บรรยากกาศคนปีนเขา
นั่งกินข้าวที่เกาะแห่งหนึ่ง


 สถานที่เล่นน้ำที่สุดท้าย คือ อ่าวพระนาง ที่มีศาลเจ้าแม่พระนางตั้งอยู่

ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปกราบไหว้สักการะท่านเสียหน่อย แต่บังเอิญๆด้วยความที่ไกด์บอกว่า
มีทริปพิเศษแถมให้ฟรีๆ คือ การปีนขึ้นเขาไปดูวิวงามๆ
เลยต้องกะโดดไปร่วมวงอย่างช่วยไม่ได้ 555

ในใจก็คิดว่าเดวก็ลงมาแล้วค่อยไปไหว้ท่านก็ได้ สุดท้ายก็ลงมาไม่ทัน
 แถมสภาพโทรมสุดๆยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำอีก  
ยังไงก็หวังว่า จะได้โอกาสไปสักการะท่านในครั้งต่อไป ..
ลงจอดเรือเทียบอ่าวพระนางก็เดินขึ้นมาบนเกาะเลย บนเกาะนี้มีทริปปีนเขาของทัวร์อื่น
เยอะแยะเลย และเเต่ละทริปนี้น่ากลัวจริงๆ ต้องยอมรับว่า ต้องใช้คนอดทนและแข็งแรงมากๆ 
เพราะขนาดจีน่ายังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วคงไปปีนกับเค้าไม่ได้แน่ๆ 55
เดินผ่านต้นไม้ใบหญ้า ขึ้นไปยังดงเขาก่อนนะคะ

เดินผ่านดงหญ้ากำลังขึ้นเขา
เดินผ่านทริปทัวร์ปีนเขาของแท้

วิวบนยอดเขา
อีกมุมของอ่าว

ผลงานจากความพยายาม

ภาพนี้สวยมาก






เดินทางเที่ยวเสร็จก็เดินทางเข้าที่พักใหม่  กระบี่เฮอริเทจ โรงแรมติดชายหาดอ่าวนาง 
เดินไปไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงทะเล สภาพบรรยากาศมีฝรั่งเต็มไปหมด
 ร้านอาหารก็มีแต่แนวอิตาเลียน สวีดิช อาหารไทยมีน้อยมากๆ 

อยู่ในซอยไม่ถึง100ม.

กระบี่เฮอริเทจ
เตียงขนาดใหญ่นอนกลิ้งได้หลายคน
สภาพห้องตรงมุมประตู



มีห้องน้ำฝักบัวด้วย
มีอ่างอาบน้ำและอุปกรณ์ครบครัน 
มีชา กาแฟ ขนม พร้อม
วิวภูเขา





























เดินเข้าไปที่ฟร๊อนท์โรงแรม เจอพนักงานสาวงามและจนท.รักษาความปลอดภัยสุภาพมากๆและบริการดีมาก นำน้ำส้มมาให้ด้วยระหว่างเช็คอินเข้าห้องพักละ  เป็นบริการที่ประทับใจแต่แรกเจอ ที่เห็นสภาพจีน่ามาแบบลูกหมาตกน้ำอย่างเหนื่อยๆมั้ง 555

เข้าที่พักก็อาบน้ำ ทำความสะอาดตัว ล้างเสื้อผ้าที่มีทรายเต็มตัวจากนั้นก็แต่งตัวหล่อๆสวยๆ ไปเที่ยวถนนคนเดินในตัวเมืองกันด้วยรถสองแถวสีแดง เข้าเมืองคนละ 60บาท/คน ไปซื้อเค้กเจ้าอร่อยชื่อดัง ขายอยู่ข้างๆห้างโว้ค  ติดกับร้านทำโรตีชื่อดัง

(ความจริงแล้วแม่อยากกินเค้กส้ม เค้กผลไม้ของร้านเค้ก เลยไปซื้อมาแบบ   3 กล่อง 100 , 4 กล่องเล็ก100บาท  ซื้อเอาไปฝากเยอะมากๆหมดไป 600 บาทแหนะ T-T  จากนั้นก็หอบหิ้วตนเองไปกิน KFC ชั่วคราว(รองท้องๆ)  แล้วก็หอบหิ้วขนมเพื่อเดินเข้าไปยังถนนคนเดินก็ได้ของติดไม้ติดมือมาฝาก (ตนเอง)   ได้เสื้อคู่ 2 ตัว แต่คนขายดันหยิบมาผิดไซส์ ใส่ไม่ด้ายยย..

และเห็นกระเป๋าทำมือสวยๆ 600 บาทเองง และของกระจุกกระจิกเล็กๆน้อยๆ  (ลงทุนเสียเงินไป 1000 บาท) สรุปหมดเงินไป 1600บาท เพื่อซื้อของไม่กี่ชิ้นToT//    ก็นั่งรถ2แถวกลับไปยังอ่าวนางต่อไป

มื้อเย็นๆ  เดินเอาของกิน ขนมของฝากเข้าไปเก็บที่ห้อง แล้วเดินออกมาหาอะไรกิน เดินไปยังหาดอ่าวนางดูร้านอาหารตามทางแล้วมีแต่อาหารอิตาเลียน อาหารสวีดิช อาหารอินเดียเยอะมากๆ เลยเลือกไม่ได้ เพราะร้านอาหารแถวนี้ขายแต่ฝรั่ง ตามรสนิยมฝรั่งด้วยสิ  คิดว่าคงไม่ถูกปากคนไทยเท่าไร แต่ก็ลองเลือกเข้าไป 1 ร้าน ไม่ค่อยมีคนนัก มีแต่คนเชียร์ให้เข้าร้านก็เข้าไปเมียงๆมองๆ






หมดค่าเสียหายไปหมดนี่ 1000 บาทพอดี และอาหารไม่อร่อย 

รสชาติเค็มๆ หรือคนฝรั่งชอบกินของเค็มกันนะกินข้าวเสร็จเดินดูร้านค้าต่างๆมีของขายที่ระลึกมากมาย และมีพวกซองกันน้ำลึก 10 ม. ด้วยละ

เดินไปเดินมาตอนขากลับที่พักก็แวะเข้าร้านนวดตัวข้างๆที่พัก เพราะแฟนบอกว่า ปวดแสบปวดร้อนตัวอันเนื่องมาจากการดื้อไม่ยอมทาครีมกันแดด 555 ผิวเลยไหม้ไฟไปทั้งตัวเบยย  ร้านที่มาใช้บริการอยู่ข้างๆซอยที่พัก ใช้บริการนวดอโรเวล่า สำหรับคนผิวไหม้ 2 คนตอนแรกจีน่าอยากจะนวดแบบปกติเพราะถูกกว่า ชม.200บาทเอง  แต่เห็นราคานวดแบบอโลเวล่าแล้วตั้งคนละ 350 บาท/คน สู้ราคาไม่ไหว ทางร้านจึงลดราคาให้สำหรับคนไทย(มั้ง)  จึงได้ใช้บริการนวดแบบอโลเวล่าเหมือนแฟนไปด้วย ได้ส่วนลดเหลือ 600 บาท (สู้ไหวๆ)   
ร้านนี้นวดดีมากๆ เค้าอธิบายว่า เค้าฝึกมาเพื่อนวดแบบผ่อนคลายจะต่างกับนวดปกติแบบกทม.คือนวดแบบทำให้หลับได้สบายๆเลยละ นวดแล้วไม่เจ็บตัวมาก นวดชนิดร่างกายเบาหวิวๆก็อยากแนะนำให้มาที่ร้านนี้สักครั้ง จะเห็นว่าเค้าเรียกคนเข้าร้านด้านหน้าร้านติดถนนเลยละนวดเสร็จก็จะเที่ยงคืนกว่าแล้วก็เลย กลับเข้าที่พัก เห็นเตียงปุ๊บ หลับเบย!!ไม่สนใจแฟนแล้วละ แฟนกะลังอยู่ในโหมดอยากสวีท แต่เราเหนื่อย เลยหักดิบแฟน นอนทันที 555


เช้าวันที่ 3 เดินทางกลับ

ตื่นเช้ามาตอน 9 โมง ตื่นมาก็มาอาบน้ำ แต่งตัวลงไปกินอาหารเช้ากันคะ คิดคนละ 200 บาท
เป็นบุปเฟต์แบบเหมาๆ กินราคาคนไทยนะคะ ราคาฝรั่งอีกราคานุง อิอิ
ตักอาหารมาเต็มที่เลย หลังจากนอนหลับเอาแรงไปเยอะเมื่อวาน 555 อาหารเช้าก็มีแบบอาหารฝรั่ง อาหารไทย อาหารเช้าธรรมดาๆคะ มีขนมปัง ไข่ดาว ปังปิ้ง ข้าวต้ม ข้าวห่อไข่ น้ำส้ม ซีเรียล ตักมาคนละนิดคนละหน่อย ก็กินไปจนหมดเวลาทานบุฟเฟต์

กินเสร็จตอน 10 โมงขึ้นไปจัดกระเป๋าเตรียมเช็คเอาท์ออกตอน 12.00น. ตอนกลับนี่ละลำบากเพราะต้องมีของเพิ่มจากของฝาก ก็ค้นๆเอาถุงที่เอามาด้วยมาใส่ของฝากกลับบ้าน  แต่ก็ไม่พอ สุดท้ายต้องลงทุนไปซื้อกระเป๋ากันน้ำ แบบลงใต้น้ำได้ สีน้ำเงินราคา 800 บาท แถวๆร้านขายของมาใส่ของฝากกลับบ้าน 555  
พร้อมกับจองตั๋วขึ้นรถบัสเดินทางไป รถทัวร์บขส. ตรงหน้าที่พักแถวๆนั้นมีขายเยอะมาก จองเที่ยว 14.00 น.  ระหว่างรอเวลาก็ไปเดินกินไอศรีมตรงหน้าหาดอ่าวนางมีอยู่ร้านหนึ่งติดกับ ไอศครีมของฮาเก้นดาซ  รสชาติอร่อยมากๆๆ..

ขึ้นรถทัวร์บขส.กลับบ้านตอน 6 โมงเย็นเนื่องจากรถจะเข้าเทียบท่า ตอน 6 โมงเย็น ก็ว่างสิคะ ไม่มีอะไรทำก็เลย นั่งรถ 2 แถวคนละ 20 บาทเป็นรถ 2 แถวเข้าในเมืองไปนั่งกินสเว่นเซ่นส์กันต่อ นั่งตากแอร์ นั่งคุย นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็ขึ้นรถทัวร์ที่จองเอาไว้ แต่ตอนนั่งรถทัวร์กลับกทม. ไม่ค่อยสบายเอาเลย เพราะข้างหน้าเป็นฝรั่งขายาวปรับเบาะลงมาซะติดเข่า ทำให้ขยับตัวลำบากมากๆ หวิดจะมีเรื่องกันหลายทีแล้วละ โคตรเห็นแก่ตัวอะ นั่งปรับเบาะจนติดเนี่ยะ !!

ถึง กรุงเทพ ตอน 05.00 น. หาแท็กซี่กลับบ้าน อาบน้ำแต่งตัวไปทำงานเช้า 8.00โมง  โคตรมาราธอนเลยละ  แต่ก็รู้สึกดี ไม่เหนื่อยคงเพราะอิ่มอกอิ่มใจมั้ง เป็นทริปท่องเที่ยวที่สนุก และเหนื่อยนิดๆ แต่รู้สึกคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป ทริปนี้หมดเงินไปเกือบ 1.2หมื่นได้มั้ง 


ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้การท่องเที่ยว
ครั้งนี้กับแฟนมีความสุขที่สุด


ขออวดภาพทะเลกระบี่ สวย โฮกๆ