Suggestion Post

Review ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 6 อวสานหงสา

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ภาค 6 อวสานหงสา        ตอนสุดท้ายของตำนานแห่งประวัติศาสตร์ไทย บทสุดท้ายที่เล่าเรื่องของจุดจบของพ...

2554-04-14

กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน อ่านไว้เป็นความรู้

รัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย

โดยจะนำสาระของกฏหมายที่เกี่ยวเนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์มาให้ได้อ่านเป็นความรู้ว่าในเเต่ละหมวดมีความว่าไว้อย่างไรบ้าง..เพื่อจะได้มาทำการเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่า ในเเต่ละข้อกฏหมายนั้นมีความสำคัญ เป็นมาอย่างไร ..ดังนี้


  • มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข
  • มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหา กษัตริย์ผู้ ทรง เป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญนี้ 
  • หมวด 2 พระมหากษัตริย์
  • มาตรา 8 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่ เคารพสัก การะผู้ใดจะละเมิดมิได้ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระ มหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้
  • หมวดอาญา 
  • หมวด 1 ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
  • มาตรา 107 ผู้ใดปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษ ประหารชีวิต
  • ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
  • ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์พระ มหากษัตริย์หรือรู้ว่ามีผู้จะปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ กระทำ การใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
  • มาตรา 108 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพ ของพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
  • ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
  • ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์ ผู้ กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต
  • ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ หรือรู้ว่ามีผู้จะกระทำการประทุษร้าย ต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ กระทำการใดอันเป็น การช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี 
  • มาตรา 109 ผู้ใดปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือฆ่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต
  • ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
  • ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์ พระราชินีหรือรัชทายาท หรือเพื่อฆ่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือจะฆ่าผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี 
  • มาตรา 110 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพ ของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือ จำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี
  • ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
  • ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์หรือ ชีวิต ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
  • ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือ เสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะประทุษร้าย ต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือ ประทุษร้ายต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ สิบสองปีถึงยี่สิบปี 
  • มาตรา 111 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตาม มาตรา 107 ถึง มาตรา 110 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น 
  • มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี 


จดหมายเปิดผนึกถึงผู้บัญชาการทหารบก โดย เครือข่ายราษฏร์อาสาปกป้องสถาบัน

จดหมายเปิดผนึกถึงผู้บัญชาการทหารบก
เรื่อง ขอให้ดำเนินการปกป้องสถาบันอย่างมียุทธศาสตร์ด้วยความจริงจังและต่อเนื่อง
เรียน ผู้บัญชาการทหารบก

            ตามที่ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้นายทหารพระธรรมนูญของกองทัพบก เดินทางไปแจ้งความเพื่อ
ร้องทุกข์กล่าวโทษแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ที่ได้พูดจามีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบนเวที
ของการชุมนุมเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายนต่อเนื่องวันที่ ๑๑ เมษายน ที่ผ่านมา ปรากฏเป็นข่าวทราบกันโดยทั่วไป

                เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน ขอเรียนชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของชาติ 
ของผู้บัญชาการทหารบกในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง  อย่างไรก็ตาม ใคร่ถือโอกาสนี้ ได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว ดังต่อไปนี้

๑.              พฤติกรรมของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มีทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผยตัว
มาตลอด ระยะเวลา ๖-๗ ปี ที่ผ่านมาในระดับที่สูงอย่างที่ไม่เตยมีมาก่อน   จนเป็นข้ออ้าง
ที่สำคัญประการแรกของคณะผู้ทำการรัฐประหาร พ.ศ.๒๕๔๙

๒.            หลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปจนได้รัฐบาลใหม่ ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นมา สถานการณ์ดังกล่าวก็ไม่คลี่คลาย แต่กลับรุนแรงขึ้น  ซึ่งทั้งรัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่างออกยืนยันถึงความสำคัญของการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์  ในขณะเดียวกัน ก็ได้มีกลุ่มบุคคลภาคประชาชนหลายๆกลุ่ม ออกมาดำเนินการปกป้องสถาบันในรูปแบบต่างๆตามความสามารถ  อันได้แก่ การแสดงความไม่พอใจต่อผู้กระทำผิดเหล่านั้นผ่านสื่อต่างๆ  การร้องเรียนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จนถึงการแจ้งความกล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานก็มี   แต่การกระทำเหล่านั้น ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งมักจะได้รับคำชี้แจงที่ว่า ขาดความชัดเจนของเนื้อหาบ้าง กฎหมายไม่เอื้ออำนวยบ้าง ติดขัดด้านปัญหาเทคโนโลยีบ้าง ทำให้การดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดเป็นไปด้วยความล่าช้า หรือขาดหายไปในที่สุด
        ผลที่ตามมาก็คือ  ผู้กระทำผิดเกิดความย่ามใจ ประกอบกับข่าวที่ว่า มีการรับอามิสสินจ้างจากผู้ที่ต้องการสั่นคลอนสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ก็ยิ่งทำให้สถาบันถูกคุกคามเพิ่มมากขึ้น
        กระบวนการภาคประชาชน ที่ปวารณาตนออกมาปกป้องสถาบัน หลายต่อหลายกลุ่มต้องหมดกำลังใจ
ที่ไม่อาจจัดการกับ กลุ่มบุคคลผู้ไม่หวังดีเหล่านั้น ซ้ำยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้แอบอ้างความจงรักภักดีออกมาเคลื่อนไหว 
        นอกจากนั้น ผู้กระทำการเป็นภัยต่อความมั่นคงเหล่านี้ ยังได้ใช้วิธีการเจ้าเล่ห์เพทุบาย ในการพูดจาจาบจ้วง
แบบเฉียดไปเฉียดมา  ซึ่งเป็นการยั่วยุให้ประชาชนจำนวนมากต้องออกมาใช้การตอบโต้ด้วยวาจาที่รุนแรง
ขึ้นโดยลำดับ มีการบัญญัติศัพท์ การใช้สัญลักษณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย  แต่โดยเจตนาแล้ว
เป็นที่เข้าใจได้ว่า มีความมุ่งหมายอย่างไร

๓.             รัฐบาล ส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนหลายหมู่เหล่า ได้ดำเนินการปกป้องสถาบัน
หลักของชาติ แบบต่างคนต่างทำ ขาดยุทธศาสตร์และยุทธวิธี  จริงอยู่ที่ว่า การแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี
เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่เป็นธรรมชาติ  เนื่องจาก
ผู้ประสงค์ร้าย ได้กระทำการกันเป็นขบวนการ  การปกป้องและตอบโต้อย่างเป็นระบบจึงเป็นสิ่งจำเป็น
และต้องทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

                การที่ผู้บัญชาการทหารบกได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในครั้งนี้  จึงเป็นอีกหนึ่งประกายความหวัง  แต่ยังไม่น่าจะเพียงพอ  เพราะหากขาดซึ่งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และการผนึกกำลังทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ  ก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่า  ประกายความหวังในครั้งนี้ จะนำไปสู่ความสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด

                ความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องสำคัญที่สุด กระบวนการด้านบริหารและระเบียบราชการที่เชื่องช้า ไม่ควรเป็นอุปสรรคในการที่จะปกป้องสถาบันหลักของชาติให้ดำรงคงอยู่อย่างวัฒนาถาวรตลอดไป

                                                                                                        ขอแสดงความนับถือ
               
                                                                                                            บวร  ยสินทร
                                                                                             ประธานเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน
                                                                                                           ๑๓ เมษายน ๒๕๕๔