Suggestion Post

Review ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 6 อวสานหงสา

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ภาค 6 อวสานหงสา        ตอนสุดท้ายของตำนานแห่งประวัติศาสตร์ไทย บทสุดท้ายที่เล่าเรื่องของจุดจบของพ...

2557-06-01

Review สมเด็จพระนเรศวรภาค 5


ตัวอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5
ตอน สงครามยุทธหัตถี


วันที่ 31/5/57 ได้ซื้อตั๋วหนังเพื่อดูพระนเรศวร ภาค 5 ตอนสุดท้าย ที่เป็นตอนแห่งประวัติศาสตร์ของชาติไทย บอกเล่าเรื่องราวของการทำสงครามประกาศเอกราชความเป็นไทยของพระนเรศ (องค์ดำ)   ไปดูที่โรง SF เซ็นทรัลพระราม 9 เข้าแถวต่อซื้อตั๋วที่มีคนจำนวนมาก รอจนขาแข็งไปหมด ตอนไปถึงหน้าเคาท์เตอร์นั้น ก็เข้าไปเลือกดูของเวลา 15.30 นาที โรง 6  พอถึงเวลานัดหมายก็ซื้อข้าวโพดกับน้ำ โดยเลือกแก้วของพระราชมนูญ ทั้งที่ใจจริงอยากได้แก้วรูบองค์ดำมากกว่า ทว่ามันหมดแล้ว มีเหลือของ พระราชมนูญกับเลอขิ่นและพระมหาอุปราช

ระหว่างรอเข้าโรงหนังก้ไปกินข้าวปั้นอร่อยๆ จนเลยเวลาเข้าโรงไป30นาที แต่ไม่ต้องห่วงเพราะว่า พอเข้าไปถึงก็ฉายพอดี แสดงว่า โฆษณามันมีตั้ง 30 นาที เป็นช่วงที่รู้สึกถูกเอาเปรียบมากๆ  เริ่มแรกของหนังนั้นกล่าวถึงบทในภาค 4 นิดนุง  จนเรื่อยมาจนถึงสงครามแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่ขอเล่ารายละเอียด แต่ขอให้ไปดูกันเอาเอง  

ที่จะบอกเล่าในวันนี้มีฉากที่ท่านมุ้ยตัดไปหลายตอนเลย และหลายฉากก็เรียกอารมณ์ซึ้ง เศร้า ปนความทระนงยิ่งใหญ่ หนักแน่น ได้หลายฉาก  อ้อ! มีฉากรักรัญจวนด้วยนะ อิอิ  

1.ฉากที่พระเจ้าบันเยนอง ถูกไฟคลอกทั้งตัว รอดมาได้เพราะพระมหาอุปราช ซึ่งในฉากนี้ จะเห็นนิสัยและความรักของลูกที่มีต่อพ่อ และการเปลี่ยนแปลงของลูกที่ได้ชื่อว่า เหลาะแหละ ไม่เอาถ่าน กลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่คิดได้รอบคอบ  ความรักของลูกที่มีต่อพ่อ ชนิดที่ไม่อยากให้พ่อตาย ก็พยายามตัดสินใจช่วยเหลือพ่อให้มากที่สุดแม้พ่อจะชิงชังก็ตาม ในบทนี้พระมหาอุปราชแสดงออกถึงความหนักแน่น เด็ดเดี่ยวในอารมณ์ของปุถุชนที่รักพ่อ ห่วงพ่อออกมา และแสดงบทบาทของความเป็นตัวแทนของเจ้าอยู่หัวได้อย่างดี

2.ฉากที่พระธรรมราชากำลังสวรรคต ได้เรียกองค์ดำเข้าพบแล้วกล่าวคำที่ลึกซึ้งกินใจ ปนขนลุกให้กับจีน่าอย่างล้นใจ และเป็นฉากที่จีน่าเสียน้ำตาให้กับการยอมรับผิดและคำสอนของพ่อ ครั้งสุดท้าย  พระธรรมราชาได้บอกองค์ดำในทำนองว่า

 "พ่อขอยอมรับผิดในการกระทำทั้งหมด ที่พ่อเคยทำมา พ่อเข้าใจว่าการปล่อยให้ตนเองยอมรับในอำนาจของพระเจ้าบุเรนองให้เข้ามาปกครองอโยธยา(สยาม) เพราะเชื่อว่าจะเกิดสันติภาพ 
ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์จะได้อาศัยอย่างมีความสุข และพ่อก็ต้องยอมเสียสละลูกๆ
เพื่อให้แผ่นดินไม่มีสงคราม สิ่งที่พ่อตัดสินใจนั้นคือ สิ่งที่ผิด " 

"การตัดสินใจของพ่อคือสิ่งที่ผิด พ่อขอบอกให้องค์ดำได้รู้ว่า การเป็น เจ้าอยู่หัวนั้น ต้องตัดสินใจให้ถูก  เจ้าจงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อไพร่ฟ้าประชาราษฏร์  ถ้าไพร่ฟ้าอยู่เป็นสุข ก็จะเกื้อหนุนเจ้าอยู่หัว "


พระธรรมราชาพระประชวร

2 ประโยคนี้คือ พระราชดำรัสของพระธรรมราชาที่จีน่าจำไม่ได้ครบทุกคำพูด 
บางคำอาจมีการใส่ให้ดูประโยคสวยงามเท่านั้น แต่ความหมายที่พระธรรมราชาตรัสออกมา 
มีความหมายในทำนองนี้ตามที่จีน่าเข้าใจ

ในฉากนี้เป็นฉากที่ฟังแล้ว ลึกซึ้งในทุกความหมายของคำพูด และบ่งบอกถึงความจริงที่ว่า  การเป็นเจ้าแผ่นดิน ถ้าปกครองไม่ดี ประชาราษฏร์ก็จะสิ้นศรัทธา หากเจ้าอยู่หัวปกครองแผ่นดินดี ไพร่ฟ้าก็จะตามไปทุกที  สิ่งที่เป็นหัวใจของนักปกครองคือ   ผู้นำต้องมีการตัดสินใจที่ถูกต้อง และนำทางประชาราษฏร์ได้  แต่ก็เป็นความจริงอีกที่ว่า  "ไม่มีทางที่กษัตริย์จะไม่ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างผิดพลาด แต่กษัตริย์สามารถทำพลาดได้ " เพราะกษัตริย์คือ นักปกครอง นักรบ นักบุญ นักรัก และผู้ช่วยเหลือ ตัวแทนของเทพที่มาจุติในโลกมนุษย์ เพื่อนำคนให้ไปสู่เส้นทางที่สันติสุข และเส้นทางที่ลงเหว 
ในเมื่อโลกมนุษย์มีตัวแทนของความดี คือ เทพยาดา  ก็ย่อมมีตัวแทนของความชั่ว คือ ปีศาจ ดังนั้น กษัตริย์ย่อมมีความผิดพลาดได้ตามคุณธรรมความดีและความชั่ว

ถ้าเจอกษัตริย์ที่มีคุณธรรม อย่างองค์ดำที่มีใจยุติธรรม รักประชาราษฏร์ สู้เพื่อลูกหลานและประชาราษฏร์ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ละก็ ไพร่ฟ้าย่อมมีแต่ความสุข ต่อให้ต้องตายเพื่อเจ้าอยู่หัวก็ไม่เสียดายชีวิต  เพราะไพร่ฟ้าคิดเหมือนกันทุกคนว่า  "ถ้าผู้นำไม่ทอดทิ้งประชาชน  ประชาชนก็จะไม่ทอดทิ้งผู้นำ"
มันคือ กฏธรรมชาติที่มีทุกแห่งทั่วโลก และเมืองไทยนำมาใช้
ในหลักการปกครองแบบพ่อกับลูก นี่คือสิ่งที่ทำให้

"ทำไมเมืองไทยจึงยังคงมีเอกราชอยู่ทุกวันนี้ เพราะหลักของนักปกครองคำเดียว 
คือ การครองแผ่นดินโดยธรรม"

3.ฉากที่องค์ดำมาเยี่ยมพระราชมนูญที่กำลังป่วย  ฉากนี้ย่อมบอกถึง คุณธรรมขององค์เหนือหัว และจิตใจของผู้ติดตามได้ แม้องค์ดำกับพระราชมนูญจะเป็นเพื่อนในวัยเด็ก แต่การเป็นเจ้านายกับบ่าวก็ทำให้รู้ได้ว่า พระราชมนูญก็มีใจนอบน้อมถ่อมตนต่อเจ้านาย และความจงรักภักดีต่อเจ้านาย  

ทำไมพระราชมนูญถึงได้จงรักภักดีต่อองค์ดำมากถึงขนาดยอมตายเป็นตัวแทนองค์ดำในการสู้ศึก  ความหมายย่อมบอกชัดเจนว่า  องค์ดำคือเจ้าเหนือหัว ที่ช่วยเหลือ พระราชมนูญมาแต่วัยเด็ก เมื่อมีบุญคุณก็ย่อมต้องตอบแทนและจงรักภักดีแบบไม่เสียดายชีวิต  ในฉากนี้มีบทพูดที่พระราชมนูญยอมตายเพื่อองค์ดำ เป็นคำพูดที่ มักได้ยินกันบ่อยๆในวงการศรัทธาเจ้าเหนือหัว (ไปดูกันเอาเองไม่บอกหรอก มันยาวจนจำไม่ได้)  และฉากนี้แสดงถึงนิสัยขององค์ดำที่บอกว่า 



 "ในสนามรบไม่มีนายไม่มีบ่าว มีแต่เพื่อนร่วมรบ ด้วยกัน "  

คำพูดนี้แสดงถึงนิสัยที่ จริงใจ และไม่แบ่งแยกชนชั้น  เป็นคุณธรรมที่เห็นเหล่าทหาร
เป็นเหมือนเพื่อนสนิท เป็นความรักที่มีความสามัคคี มีวินัย  เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจและอ่อนน้อมถ่อมตน
 (ข้อนี้ยกให้ในสิ่งที่ทหารไทยจะต้องมีเลย)

จากสิ่งเหล่านี้ในบทนี้ ย่อมมีความหมายแสดงออกถึงนิสัยขององค์ดำและพระราชมนูญเป็นอย่างมาก  แต่มีบทของเลอขิ่นพูดด้วยในตอนนี้ แต่รู้สึกเหมือนเป็นอารมณ์พูดไม่เชิงจงรักภักดี แต่พูดเชิงกัดฟันพูดมากกว่า ในบทเลอขิ่นที่พูดนี้ยอมรับว่า เหมือน นักแสดงกัดฟันพูดหรือเปล่า รู้สึกไม่เข้าถึงอารมณ์ของเลอขิ่นในตอนนั้นแบบสวนทางกับคำพูดของเลอขิ่นเลย  (แต่ก็ยังดูเพราะชอบ)

4.บทพระมหาอุปราชรับพระบรมโองการของพ่ออยู่ฟัวบันเยนองเพื่อเข้าโจมตีองค์ดำ แต่มหาอุปราชไม่อยากไปเนื่องจากมีทายทักจะโหรฯว่า ดวงตกมีสิทธิตายได้  ทว่าก้ขัดคำสั่งไม่ได้ก็ยังตัดสินใจเด็ดเดี่ยวไปตามพระบัญชา ในคำพูดที่บอกว่า



 "แม้จะพ่ายแพ้กับองค์ดำก็จะขอไปสู้ตายยังแผ่นดินไทยไม่กลับมาตายแผ่นดินพม่า"  

คำนี้เด็ดเดี่ยวมากๆนะ คำพูดนี้ขอชื่นชมในความเป็นนักรบของพระมหาอุปราชที่
แสดงถึงจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว แม้ในใจจะยังกลัวกับความตาย

5.บทยุทธหัตถี บทนี้มีจุดสำคัญหลายจุดมากที่ท่านมุ้ยนำมาสร้างเป็นจุดหักเหที่มีผลต่อชัยชนะขององค์ดำ สิ่งแรกที่จะบอกก่อนเลยคือ บทนี้ มีสิ่งที่ควรสังเกตมากๆ คือ บทของควาญช้างหลวง และการยิงปืนของพม่าเพื่อฆ่าควาญช้างหลวง บทนี้ไม่มีในประวัติศาสตร์แบบเรียนของไทย แต่มีในพวงศาวดารของพม่าและของไทยแน่นอน เป้นบทที่สำคัญมาก  

เชื่อได้ว่า ควาญช้างไทยที่เป็นคนใบ้นั้นมีส่วนช่วยให้ช้างหลวงพระยาชัยยานุภาพแสดงฝีมือได้ในสงครามครานี้ แม้ช้างของพระมหาอุปราชจะตัวใหญ่กว่า และมีกำลังมากกว่า ซึ่งยอมรับในฝีมือการคัดเลือกช้างจริงๆ  ของทีมงานท่านมุ้ย

ช้างพระยาชัยยานุภาพนั้นเมื่อเข้าทำการไสช้างกับช้างที่ตัวใหญ่กว่าก็แสดงความหวาดกลัวในพละกำลังของช้างพระมหาอุปราช แต่ควาญช้างก็พยายามสั่งให้ช้างองค์ดำลุยสู้แต่ช้างไม่สู้ กับถอยร่นออกมา จนมีฉาก ที่องค์ดำพูดกับช้างชัยยานุภาพและเป็นฉากที่มีในหนังเรื่องก้านกล้วยด้วย  สุดท้ายพอช้างมีแรงใจฮึกเหิมก็ได้ควาญช้างช่วยบังคับทิศทาง  แต่ทหารพม่านั้นกลับยิงปืนใส่ควาญช้าง เพื่อต้องการให้ช้างพลาดท่าเสียที  ฉากทหารพม่ายิงปืนใส่นี้ น่าจะมีในพงศาวดารพม่า ไม่น่ามีในพงศาวดารของไทยเพราะในการรบ เชื่อว่า ทหารพม่าที่ซุ่มยิงใส่ควาญช้างนั้นอยู่ในแนวหน้า ผู้บันทึกไม่น่าจะมองเห็นการยิงนี้ ในบันทึกไทยน่าจะมีเขียนเอาไว้ว่า  ควาญช้างถูกยิงปืนจากพม่า แต่ในบันทึกพม่าน่าจะมีเขียนไว้ว่า ได้ยิงปืนใส่ควาญช้าง เพื่อให้ช้างไม่รู้ทิศทาง หรือมีบันทึกว่า  ควาญช้างถูกยิงตาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใด  แต่ไม่ว่าจะบันทึกจากฝ่ายใดก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นจุดสำคัญของการรบครานี้  

การยุทธหัตถีนั้น วัดที่ช้างและฝีมือของนักรบจริงๆ  ตอนที่ช้างถอยร่นแล้วไปเหยียบต้นไม้เพื่อยันตัวไว้นั้นเป็นแรงผลักที่บอกว่าเป็นจุดสำคัญมาก  และมองเห็นด้วยที่มีการถ่ายฉากตอนช้างเอาเท้าผลักต้นไม้เพื่อยันจนช้างมีแรงเหวี่ยง จนทำให้องค์ดำฟาดอาวุธแทงพระมหาอุปราชได้จากบนลงล่าง และมีฟันรอบ2ด้วยการแทง (จำไม่ได้ว่า แทงก่อนหรือฟันก่อนนะคะ)  

พอองค์ดำฟันอาวุธใส่พระมหาอุปราช ได้เห็นสีหน้าของพระมหาอุปราชแล้วไม่รู้ว่า มีความสุขหรือ เสียใจที่ตนเองต้องตายกันแน่  ไม่รู้ว่าในความเป็นจริงจะถูกไหม แต่จีน่าดูแล้วเชื่อว่า

  พระมหาอุปราชมีความสุขที่ได้ตายในการรบครั้งนี้ เพื่อแสดงออกถึงศักดิ์ศรี
ของสายเลือดหงสาวดี แสดงถึงการรบของนักรบว่า 
ได้สู้ถึงที่สุดแล้วในการรบครานี้ เป็นสีหน้าที่ดี
และก็น่านับถือในน้ำใจของพระมหาอุปราช

จะบอกว่า ลุ้นฉากตอนยุทธหัตถีมากๆ ทั้งองค์ขาวและองค์ดำ สู้กันได้สุดยอดจนกลัวไปหมด 

สรุปได้ว่า หนังเรื่องนี้ มีประวัติศาสตร์ที่บางอย่างเราไม่รู้ 
และเป็นสิ่งสมควรได้รู้เพื่อวิเคราะห์ความเป็นเพื่อนบ้านกันและกัน 
และวิเคราะห์ในความสัมพันธ์ของ 2 ชาติ


สิ่งที่สยามมี แต่ชาติอื่นไม่มี คือ ใจที่รักอิสระ
ถ้าบอกว่า ประชาธิปไตย ย่อมต้องมีอิสระเสรีภาพ 
เมืองไทยมีสิ่งนั้นแล้ว เพราะไทยเรามีเสรีภาพ
ในการปกครองของคนไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย  

เราคนไทยมีใจรักอิสระเสรีภาพ ไม่ยอมเป็นขี้ข้าใคร 
ปกครองชาติด้วยตนเอง นี่ละคือชาติที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด









ขอจบบทความนี้ด้วยบทเพลงประกอบภาพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคยุทธหัตถี


เพลง สมรภูมิสุดท้าย



เพลงประกอบภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี 
ขับร้อง รังสรรค์ ปัญญาเรือน (สงกรานต์ เดอะวอยซ์) 
ทำนอง เรียบเรียง สันติ ชัยปรีชา
เนื้อร้อง โป โปษยะนุกุล, เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน, วสกร เดชสุธรรม
มิวสิควีดีโอ โดย พิบูลย์ เชยอรุณ, ม.ร.ว. เฉลิมชาตรี ยุคล 

ก่อนตะวันจะลา ก่อนที่ฟ้าจะเปลี่ยน
จะพลิกชะตา ทำให้โลกได้เห็น
ก่อนชีวิตจะจบ จะไม่ยอมพ่ายแพ้
ให้ธรณีเป็นพยานเอาไว้ ฉันจะสู้

โลกไม่เคย จะจดจำคนขี้ขลาด

วิ่งหนีทิ้งใจให้หมดหวัง
ถ้าในวันนี้หัวใจยังเต้นอยู่ จะกลัวไปทำไม จะกลัวไปทำไม

ฉันพร้อมยอมแลกเดิมพันด้วยชีวิต ไม่เคยคิดจะยอมจำนน

แต่จะสู้สุดใจที่มี
มันคือเดิมพันที่วางด้วยศักดิ์ศรี นาทีสุดท้ายจะเป็นยังไง
จะเผชิญมันไปให้รู้กัน
จะสู้ให้โลกจารึกว่าใคร ทำให้มีความหมาย ให้ได้มีวันพรุ่งนี้

หักความกลัวทั้งหมด ด้วยความกล้า
เหนื่อยแค่ไหน จะไม่ยอมหยุดยั้ง
เสี่ยงแค่ไหนก็ตาม โชคชะตาขีดไว้
ด้วยมือเราเอง จนถึงวันสุดท้าย ย้ำในใจ

โลกไม่เคย จะจดจำคนขี้ขลาด
วิ่งหนีทิ้งใจให้หมดหวัง
ถ้าในวันนี้หัวใจยังเต้นอยู่ จะกลัวไปทำไม จะกลัวไปทำไม

ฉันพร้อมยอมแลกเดิมพันด้วยชีวิต ไม่เคยคิดจะยอมจำนน
แต่จะสู้สุดใจที่มี
มันคือเดิมพันที่วางด้วยศักดิ์ศรี นาทีสุดท้ายจะเป็นยังไง
จะเผชิญมันไปให้รู้กัน
จะสู้ให้โลกจารึกว่าใคร ทำให้มีความหมาย ให้ได้มีวันพรุ่งนี้

ขุนเขายังยืนอยู่ ท่ามกลางพายุร้าย
ตราบที่เรายังสู้ สมรภูมิสุดท้าย
ขุนเขายังยืนอยู่ (สูงเสียดฟ้าเท่าไหร่)
ท่ามกลางพายุร้าย (ท่ามกลางพายุ)
(จะไปให้ถึง) ตราบที่เรายังสู้
(ชัยชนะ) สมรภูมิสุดท้าย

มันคือเดิมพันที่วางด้วยชีวิต ไม่เคยคิดจะยอมจำนน
แต่จะสู้สุดใจที่มี
มันคือเดิมพันที่วางด้วยศักดิ์ศรี นาทีสุดท้ายจะเป็นยังไง
จะเผชิญมันไปให้รู้กัน

ฉันพร้อมยอมแลกเดิมพันด้วยชีวิต ไม่เคยคิดจะยอมจำนน
แต่จะสู้สุดใจที่มี
มันคือเดิมพันที่วางด้วยศักดิ์ศรี จนนาทีสุดท้าย
จะเผชิญมันไปให้รู้กัน
จะสู้ให้โลกจารึกว่าใคร ในสมรภูมิสุดท้าย ให้ได้มีวันพรุ่งนี้


ขอบคุณนักแสดงและทีมงานท่านมุ้ย และทุกฝ่ายที่ทำให้คนไทยได้รับรู้เรื่องราวความยิ่งใหญ่
ของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่มีความหมายและเป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจน
ถึงอิสรภาพของคนไทยสืบสายเลือดไปจนชั่วลูกหลานคะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Comment here (เขียนความคิดตรงนี้นะ)