Suggestion Post

Review ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 6 อวสานหงสา

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ภาค 6 อวสานหงสา        ตอนสุดท้ายของตำนานแห่งประวัติศาสตร์ไทย บทสุดท้ายที่เล่าเรื่องของจุดจบของพ...

2554-01-20

แถลงการณ์จากศนท. เรื่อง คัดค้านกรณีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเข้ายื่นถวายฎีกา



 แถลงการณ์สำนักเลขาธิการศูนย์กลางนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
เรื่อง คัดค้านกรณีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเข้ายื่
นถวายฎีกา


เนื่องด้วยกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติได้เข้ายื่นถวายฎีกาต่อสำนักพระราชวัง ในวันที่ 18 มกราคม 2554 กรณี 7 คนไทยถูกทางการกัมพูชาจับดำเนินคดี และการปกป้องอธิปไตยของรัฐบาล ศูนย์กลางนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยขอแสดงความไม่เห็นด้วยและขอคัดค้านต่อกรณีดังกล่าว ดังประเด็นต่อไปนี้
1. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 3 พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยทางการบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี ทางนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา และตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องข้อพิพาทที่อยู่อำนาจในการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชา ประกอบกับมีประเด็นพิพาทเขตแดนเกี่ยวพันอยู่ด้วยและยังไม่เป็นข้อยุติซึ่งยังจะต้องมีการเจราจาตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลของทั้งประเทศ พระมหากษัตริย์จึงไม่ได้ทรงอยู่ในฐานะที่จะสนับสนุนและคัดค้านตามประเด็นที่จะถวายฎีกาเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย รวมทั้งไม่ทรงมีพระราชอำนาจในการปลดหรือเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลตามพระราชหฤทัย การเข้ายื่นถวายฎีกาเป็นสิทธิของราษฎร แต่ข้อฎีกาควรต้องยึดถือหลักธรรมเนียมประเพณี และหลักกฎหมาย ข้อฎีกาจึงเป็นการเรียกร้องในเรื่องที่อยู่นอกขอบเขตแห่งพระราชอำนาจ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

2. การถวายฎีกาดังกล่าวยังเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างพสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งสองฝ่าย ผลที่เกิดขึ้นตามมาไม่ว่าในทางใดทางหนึ่งย่อมส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และบทบาทของสถาบันฯ ทั้งยังจะเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดี ใช้เป็นช่องทางในการกล่าวหาโจมตีสถาบันฯให้เสื่อมเสียดังที่ปรากฏอยู่โดยตลอด
สำนักเลขาธิการศูนย์กลางนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยจึงขอแสดงจุดยืนต่อกรณี ปัญหาที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลกัมพูชาและท่าทีการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทย โดยเห็นว่า ผู้ยื่นถวายฎีกาควรใช้วิถีทางการแก้ปัญหาที่ถูกต้องตรงตามเหตุและผล ตามแนวทางแห่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งประกอบไปด้วยกลไกการตรวจสอบจากรัฐสภา ศาล รวมทั้งสื่อมวลชน และการตรวจสอบจากภาคประชาชน ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีแก่ทุกฝ่าย เกิดความสามัคคีกันในหมู่พสกนิกรผู้จงรักภักดีอันจะไม่เป็นการสร้างความขัดแย้งที่รุนแรงให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างต่อเนื่องไม่จบสิ้น





 
เลขาธิการศูนย์กลางนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
19 มกราคม 2554

MV เพลงทรงพระเจริญ โดย บอยโกสิยพงษ์


MV เพลงทรงพระเจริญ โดย บอยโกสิยพงษ์
Song : ทรงพระเจริญ Lyrics

Album : ทรงพระเจริญ (Single)
Artist : บอย โกสิยพงษ์

อยากจะรู้หัวใจพระองค์นั้นทรงทำด้วยอะไร
 เหตุอันใดจึงมีความรักมากมายให้ได้กับทุกคน
อยากจะรู้ร่างกายพระองค์ทำไมจึงถึงอดทน
แบกภาระที่มีมากล้นคนเดียวอย่างไร

เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม

ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
พระวรกายและพระทัย
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย
 จากใจพสกนิกรของพระองค์

กี่ปีมาแล้วที่เห็นพระองค์นั้นทรงเหนื่อยล้าใจกาย
โดยมุ่งหมายดูแลแก้ไขป้องภัยให้เรา
จนบัดนี้พระองค์ก็ยังคงคอยช่วยเหลือบรรเทา
และทรงเฝ้าทำเพื่อพวกเราไม่เคยเสื่อมคลาย

เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ขอจงทรงพระเกษมสำราญ


พระวรกายและพระทัย
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย
 จากใจพสกนิกรของพระองค์

เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม

ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
พระวรกายและพระทัย
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย
 จากใจพสกนิกรของพระองค์

ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของคนไทย
 จากใจพสกนิกรของพระองค์



---------------------------------------------------------------------------
      เพลงนี้เป็นเพลงที่ดีอีกเพลงนึงคะ เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องโดนใจ จี เข้าอย่างจังเลยละคะ ทำไม..นะรึคะ ก็เพราะว่า...เพลงนี้เป็นคำถามที่อยู่ในใจของ จี มาโดยตลอดนะสิคะ..ตั้งเเต่เล็กเเล้ว..ตอน จี ยังเด็กนั้น จี อยู่ไม่ทันตอนพระองค์เสด็จพระราชดำเนิน ทรงงานต่างๆมากมายทั่วประเทศหรอกคะ เเต่ จี รับรู้ได้จากในหนังสือ ตำราเรียน สื่อ..ต่างๆ เช่น ภาพ วิดีโอ ผลงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากกว่า ที่จะเป็นการฝังหัวให้เชื่อว่า พระองค์ดีเเบบงมงายนะคะ เเต่ที่ จี เชื่อว่าพระองค์ทรงงานหนักจริง เเละดีจริงๆ  เพราะว่ามีหลักฐานยังไงละคะ เช่น รูป เเละวิดีโอภาพเคลื่อนไหวนะคะ
     จี คิดว่า ในทุกวิดีโอนั้น..การเดินทางมันลำบากมากนะคะ หากเป็น จี คงท้อมากเลยคะ เพราะเเต่ละที่ทุรกันดานเเละน่ากลัวเกินกว่าจะเข้าไปได้...เเต่พระองค์ก็เข้าไป..เเละบุกฝ่าฝันตะลุยเข้าไป..จนเกิดเป็นโครงการต่างๆมากมายที่เห็นกันอยู่ชัดเจนจนถึงปัจจุบันนี้...
     เเล้วในสมองน้อยๆของ จี ในตอนเด็กนั้นนะ เคยถามกับตัวเองว่า ทำไมพระองค์ต้องลำบากขนาดนี้ด้วย..ทำไมต้องเหนื่อยขนาดนี้ด้วย..ทั้งที่จะให้ตัวเเทนเป็นคนไปดู เเละมาบอกกล่าวกับพระองค์เฉกเช่นการทำงานเเบบผู้บริหารทั่วๆไปที่สั่งให้ลูกน้องลงพื้นที่เเล้วส่งข้อมูลให้ มันจะง่ายกว่าด้วย ไม่เหนื่อย เเล้วทำไมพระองค์ต้องลงพื้นที่จริงให้เหนื่อย..เเล้วพระองค์จะใช้ชีวิตที่สุขสบายเฉกเช่นผู้มีฐานันดรศักดิ์สูงส่งจะดีกว่าไหม เเล้วทำไมต้องยอมเหนื่อยขนาดนี้ด้วยนะ เเล้ว จี เคยถามกับตัวเองอีกนะว่า พระองค์เคยท้อใจบ้างไหม..ทำไมพระองค์ไม่ปล่อยภาระอันนี้ให้ผู้อื่นไป..ทำไมต้องรับมาเป็นภาระของตนเองด้วย..
      จนถึงปัจจุบันนี้ จี ก็ยังคิดอยู่เสมอว่า พระองค์มีความสุขรึเปล่า...ทั้งที่พระองค์ก็ทรงงานหนักมากเลย เเล้วพระองค์เคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขเหมือนคนอื่นๆบ้างไหม มีช่วงเวลาที่ได้รู้สึกผ่อนคลาย..สบายใจ เเละมีความสุขบ้างไหมคะ ถ้า จี ได้พบพระองค์ จี จะขอถามพระองค์ดังที่ จี คิดไว้..คะ


ปล...ข้อความจากใจทั้งหมดนี้ มีบางคำที่ จี ไม่สามารถใช้คำราชาศัพท์ได้ เนื่องจาก จี ไม่ถนัดคำราชาศัพท์นะคะ เลยไม่รู้ว่าต้องใช้คำใดที่เหมาะสม หากไม่ดี ก็ขอคำติ ด้วยนะคะ ว่าต้องเเก้อะไรบ้าง เเล้ว จี จะเเก้คะ ขอโทษคะ ..

2554-01-18

เเนวคิดประชาธิปไตยกับความเข้ากันได้ของไทยในการปกครอง

อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ณ ถนนราชดำเนิน
          
         เเนวคิดในเรื่องของการปกครองในเเบบประชาธิปไตย..กับ วัฒนธรรมของชนชาติไทยจะเข้ากันได้กับการปกครองเเบบปชต.นี้หรือไม่ จะเป็นการส่งเสริม หรือ ทำลายวัฒนธรรมให้มากขึ้นไป    เเล้วปชต.ไทยในเวลานี้ละ มันเปนเเบบไหน อะไรคือต้นเหตุสาเหตุของความล้มเหลวในปชต.กันเเน่นะ ...งั้น ก่อนอื่น จี ก็จะขอนำความหลักๆของคำว่า ปชต.มาให้ทุกคนได้อ่านเเละทำความเข้าใจกันนะคะ


รัฐะรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย

การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น  เป็นระบบการปกครองที่จัดสรรสังคมเพื่อให้เกิด โอกาส” ที่ดีที่สุดในการสร้างสรรค์  ที่จะทำให้ชีวิตและสังคมบรรลุประโยชน์สูงสุด    โอกาสจึงเป็นสิ่งที่ประชาธิปไตยให้เพื่อให้แต่ละบุคคลได้มีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง  พัฒนาชีวิตและพัฒนาศักยภาพของตน  ให้ชีวิตเจริญงอกงาม  และให้ประชาชนเหล่านั้นแต่ละคนมีโอกาสที่จะนำเอาศักยภาพของตนออกไปร่วมสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและประโยชน์สุขให้แก่สังคม  เช่น ด้วยการมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้ง  เพื่อที่จะให้ โอกาส” ทั้งสองด้านดังกล่าวนี้เกิดขึ้นและมาบรรจบกัน   ระบบประชาธิปไตยจึงมีหลักการสำคัญ  ข้อ เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาส คือ
1.     เสรีภาพ (liberty, freedom)  ความเป็นอิสระ  ไม่มีอะไรมากีดกั้นจำกัด  หรือความมีสิทธิที่จะทำจะพูดได้  โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น  ภายใต้เงื่อนไข  ข้อกำหนด หรือความคุ้มครองของกฎหมาย  เสรีภาพนี้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างและเปิดโอกาสให้ศักยภาพที่มีอยู่ในแต่ละบุคคลให้ออกมามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคม
2.     เสมอภาค (equality) หรือสมานภาพ  ความเสมอภาค  ความมีสมานฉันท์  หรือการร่วมสุขร่วมทุกข์ ร่วมในการสร้างสรรค์หรือแก้ไขปัญหา  เสมอภาคโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง  ไม่ดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามกัน รวมทั้งไม่เอารัดเอาเปรียบกัน  การใช้เสรีภาพในข้อที่ จึงต้องมีขอบเขตในการที่จะไม่ก้าวล้ำ  ไม่ละเมิดต่อผู้อื่น  มีโอกาสที่จะใช้เสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน  
3.     ภราดรภาพ (fraternity) หรือความสามัคคี  เอกภาพหรือเอกีภาพ  ความเป็นพี่เป็นน้องกัน  ความประสานรวมเข้ากันได้  หรือการรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เป็นฐานและเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้การใช้เสรีภาพและความเสมอภาค  เกิดผลงอกงามและสัมฤทธิ์ผล


จากที่เพื่อนๆอ่านมานั้น เห็นอะไรบางอย่างไหมคะ ในทุกๆข้อเลย งั้นเอางี้นะ ..จี จะเป็นคนช่วยให้ทุกคนเห็นเองเเบบง่ายๆนะคะ ....ในข้อที่ 1 เขียนไว้ชัดเจนว่า ความเป็นอิสระ ไม่ปิดกั้น โดยต้องไม่ละเมิดผู้อื่น ภายใต้เงื่อนไขของกฏหมายที่กำหนด..มาลองคิดตีในประเด็นนี้กันก่อนนะคะ

1)ทุกคนมีความเป็นอิสระ เหมือนกันหมด พูด คิด กระทำได้อย่างเป็นอิสระ เเต่ก้มีคำว่า ต้องไม่ละเมิดผู้อื่นภายใต้เงื่อนไขของกฏหมายด้วย ซึ่งจากคำพูดนี้ มันคือการควบคุมใช่หรือไม่คะ..ในความเหนของ จี มันมีการควบคุมความเป็นอิสระในกรอบที่กำหนดไว้ให้ด้วย..เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยอันดีในสังคม ไม่ให้เกิดการทำร้าย ขุ่มขู่ คุกคามเเละอันตรายต่อสิทธิของตนเองในการการกระทำด้วย ...เเล้วทำไมในสังคมปัจจุบันนี้ ถึงใช้คำว่า อิสระ เสรีภาพ เพียงอย่างเดียว โดยขาดคำว่า การควบคุม หรือการไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น ด้วยนะเนี่ย

2)ในความเสมอภาค ร่วมทุกข์ร่วมสุกซึ่งกันเเละกันก็บอกได้อย่างตรงตัวเเล้ว เเต่ก็มีคำพูดที่ว่า โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง (กล่าวคือ ต้องเท่าเทียมกันทุกคนไม่เเบ่งชนชั้น หรือ อำนาจ หรือฐานะใดๆก้ตามที) เเละไม่ีดูถูก เบียดเบียน ทำร้ายผู้อื่นด้วย ก็เเสดงว่าคำพูดนี้ เปนการควบคุมในการใช้ความเสมอภาค เเละเสรีภาพที่ต้องเท่าเทียมกัน โดยไม่ไปทำร้าย เอารัดเอาเปรียบคนอื่นด้วยความเปนอิสระของตนเองสินะ ซึ่งหากพิจารณาดีๆ ก็ตรงกับคำสอนในพระพุทธศาสนานะที่ว่า ในเรื่องของการให้ทาน ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น อย่างเช่น ศีล 5 ก็บอกถึงความหมายของ คำว่า เสมอภาคได้ดีเช่นกัน ...

3)ภราดรภาพ หรือความสามัคคี ก็เป็นความหมายตรงตัวอยู่เเล้วนะ ที่ว่า ต้องมีการอยู่ร่วมกันอันเปนอันหนึ่งเดียวกัน รวมตัวกันได้ โดยไม่มีความเเตกเเยก...ซึ่งจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับปชต.ที่ดี ที่มีไว้เพื่อใช้ในการจัดระเบียบความเรียบร้อยของสังคมให้เป็นปกติสุข..

จากการวิเคราะหืข้างต้นนั้น เเละในทุกคำพูด ทุกความหมายนั้น จี คิดว่า ในเมืองไทย ..ไม่ได้ใช้ 3 ข้อนี้อย่างเเท้จริง นั้นคือ..เสรีภาพ เสมอภาค เเละสามัคคี...เพาะว่า ถ้าคิดพิจารณาดีๆ ในตอนนี้คนไทยทุกคนไม่มีใครเข้าใจความหมายอันเเท้จริงของปชต.เลย หากลองคิดสักนิด ปชต.ก็่เหมือนศาสนาดีๆนิเอง..เพาะเป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อจัดระเบียบสังคมให้อยู่เเบบปกติสุข ซึ่งก้เหมือนศานาที่มีไว้เพื่อการจัดระเบียบสังคมให้เป็นปกติสุขเช่นกัน ไม่ใช่หรือ...

2554-01-13

กิจกรรมดีๆจากศนท.53 อยากรู้คืออะไรก็อ่านสิคะ

         หวัดดีค้าาา...เพื่อนๆ ทุกโคนนน วันนี้ จี ขอมาเเนะนำกิจกรรมดีสักหน่อยนะ .. เเละก็ขอเรียนเชิญเพื่อนๆทุกคน ไปเข้าร่วมกิจกรรมอันดีของศนท. หรือ ศูนย์กลางนักเรียนนิสิตนักศึกษาเเห่งประเทศไทยนะคะ
        เเล้วศนท.คืออะไร...กันนะ คิดว่าทุกคนคงสงสัยกันใช่ไหมคะ อ้อ.. เเน่นอนคะ ถ้าในยุคนี้ปัจจุบันนี้อาจไม่มีใครรู้จักเลยก็ได้ เเต่ถ้าสมัยเมื่อ 40-50 ที่เเล้ว อาจมีบางคนรู้จักก็เปนได้คะ 

เพิ่มคำอธิบายภาพ
ขบวนเดโชชัย 
           อะเเฮ่ม !! งั้นขอเเนะนำตัวก่อนเลยเเล้วกันนะคะ ว่า ศนท.คือ ใคร ทำอะไร เเละมีที่มาที่ไปอย่างไร  เริ่มจากศนท.เเรก ที่เป็นต้นกำเนินเลยก็เเล้วกันนะคะ ศนท.นั้นมีชื่อเต็มๆว่า ศุนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้มีการก่อตั้งตั้งแต่ปี 2513-2519 เป็นองค์กรนักศึกษาอิสระที่ขับไล่เผด็จการในยุค 14 ตุลา16 (ขอเรียกย่อๆว่า ตุลาเเรก นะคะ)  เเละมีกิจกรรมต่างๆมากมายจนตกต่ำลงเรื่อยๆ เนื่องจากการเเทรกเเซงจาก คนกลุ่มซ้าย หรือคอมมิวนิส (ถ้าเทียบกับสมัยนี้ ก็ คือเเดง ละคะ) จนมาเกิดเหตุการณ์ที่ปชช.ไม่พอใจศนท.นี้ จนนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ที่ปชชพากันล้มปราบกลุ่มนักศึกษากัน(ขอเรียกว่า ตุลาสอง นะคะ)

ศูนย์กลางนักเรียนนิสิตนักศึกษาเเห่งประเทศไทย

      เเต่ปัจจุบันนี้ได้มีการจัดตั้ง ศนท.ขึ้นมาใหม่ โดย คุณบวร ยสินทร หนึ่งในเเกนนำสมัยตุลาเเรก (14 ตุลา16 ) เป็นผู้ก่อตั้ง มีชื่อเรียกว่า ศนท.53 มีชื่อเต็มว่า ศูนย์กลางนักเรียนนิสิตนักศึกษาเเห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ วันที่ 5 ธ.ค. 53 โดยมีจุดประสงค์ดังนี้

คำปฎิญาณ ศนท.
1. ข้าฯ จะธำรงรักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาธิปไตย
2. ข้าฯ จะแสดงความรักชาติด้วยความเสียสละและกล้าหาญ
3. ข้าฯ จะเอื้อเฟื้อและไม่ประทุษร้ายต่อคนในชาติเดียวกัน
4. ข้าฯ จะเป็นพลเมืองไทยที่ดี

ศนท.ขอยืนหยัดเคียงข้างสถาบัน

            เเละในตอนนี้ ทางศนท.53 ได้มีการจัดประชุมกิจกรรมทางวิชาการเเละการเสวนา โดยมีรายละเอียดดังนี้นะคะ 

จัดขึ้นในวันที่     15 ม.ค.54 เวลา 13:00-16:30 
สถานที่   อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน
รายละเอียด 
เริ่มเวลา 13.00 น.เป็นกิจกรรมทางวิชาการและสันทนาการ

- พบ "ยุค ศรีอาริยะ" ดร.เทียนชัย วงษ์ชัยสุวรรณ อดีตผู้นำนักศึกษาประธานกลุ่มสภาหน้าโดมในยุค 14 ตุลา ผู้เป็นนักคิดนักเขียนที่คน
ร่วมสมัยต่างยอมรับ    
ท่านจะได้รับฟังทฤษฎีกระแสโลก ทฤษฎีเคออส ฤาจะถึงกาลกลียุค
-พบกับ คุณ บวร ยสินทร จะมาเล่านิทานเรื่องหมาหางด้วน 2553 นิทานอมตะของอีสปที่ยังอธิบายเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองได้ถึงปัจจุบัน
-พบคุณละเมียด ภรรยาคุณจีระ บุญมาก วีรชน 14 ตุลา 2516ผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เป็นศพแรก และญาติวีรชนอีกจำนวนหนึ่ง
37 ปีแห่งความทรงจำ

(ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรมเว้นแต่จะบริจาคช่วยตามกำลังศรัทธา)

สนใจเข้าร่วมงานก้นก็ตบเท้าเดินเข้าไปกันเลยนะคะ งานนี้ ได้เจอกันเเน่นอนคะ

 จี ก็ไปด้วยน้า..จะบอกให้ !!อิอิ




2554-01-07

บทความจากคนไทยเรื่อง เด็กรุ่นใหม่ทำไมไม่รักในหลวง?

เด็กรุ่นใหม่ทำไมไม่รัก ในหลวง? 

๑. ขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กรณีคณะอักษรศาสตร์การปฏิเสธการเข้าศึกษาต่อของ "นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ" 
ตอนแรกว่าจะเขียนแถลงการณ์ ประณามสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลองคิดอีกทีคงจะเวอร์ไป และคงต้องพูดด้วยศัพท์วิชาการเยอะ ๆ ยืด ๆ คงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ เอาเป็นว่าขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดขึ้น

สืบเนื่องจากที่นางสาวณัฐ กานต์ สกุลดาราชาติ หรือใช้ชื่อในอินเตอร์เน็ตว่า "ก้านธูป" ได้เขียนข้อความจาบจ้วงและแสดงพฤติกรรมหมิ่นสถาบันสูง สุดของชาติในเว็บ Facebook อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง จนเป็นที่โจษจันกันในอินเตอร์เน็ต เมื่อเธอสอบติดคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จึงมีผู้หวังดีแจ้งเรื่องนี้ไปให้ทางมหาวิทยาลัย ตลอดจนรวบรวมหลักฐานส่งไปประกอบการพิจารณา ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ทางคณะอักษรได้มีการประกาศออกมาว่า "ขณะนี้คณะกรรมการหลักสูตรเอเชียศึกษามีมติไม่รับ นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ เข้าศึกษาต่อ"

ผมคิดว่านี่คือความไม่ยุติ ธรรมอย่างหนึ่ง ที่สถาบันการศึกษาของรัฐปฏิเสธโอกาสทางการศึกษาของคน ๆ หนึ่ง เพียงเพราะเขามีความคิดต่างทางการเมือง นี่คือการใช้ "บทลงโทษทางสังคม" (Social Sanction) อันเป็นอำนาจนอกระบบมาใช้ทำลายอำนาจในระบบ ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของอำนาจในระบบ และเสถียรภาพของสิ่งที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างของบทลงโทษทางสังคมนี้ นั่นก็คือภาวะการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ต่อไปจะเกิดการทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่คิดต่าง ด้วยข้อหา "ไม่รักในหลวง" และต่อไปสิทธิขั้นพื้นฐานเองจะไม่สามารถดำรงตัวเองอยู่ได้จนถึง กับล่มสลายเพราะเกิดความไม่เสมอภาคขึ้น และภาวะการดำรงอยู่ของสถาบันจะถูกนำมาเป็น "แพะรับบาป" ในการล่มสลายของระบบสิทธิขั้นพื้นฐาน ผลก็คือ รอยร้าวระหว่างคนที่ "รักในหลวง" กับ "ไม่รักในหลวง" จะแยกออกห่างจากกันยิ่งขึ้น และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้การเคลื่อนไหวเพื่อ "โค่นล้มสถาบัน" มีแนวร่วมมากขึ้น รุนแรงยิ่งขึ้น และที่สำคัญ มีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น

มีคำถามตามมาว่า ถ้าเช่นนั้นเราควรรับน้องคนนี้เข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐ เพื่อให้เป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันในวันข้างหน้าหรือ

ขออนุญาตตอบว่า สิทธิขั้นพื้นฐานเป็นคนละเรื่องกับเรื่องความมั่นคง ในกรณีนี้ สิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กไม่ควรถูกปฏิเสธจากรัฐที่เธอ อาศัยอยู่ เช่นว่า ถ้าเธอป่วย ในฐานะของพลเมืองรัฐ เธอมีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของ รัฐ โดยจะไม่ถูก Social Sanction จากโรงพยาบาลของรัฐ เช่นเดียวกับการได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานทางการศึกษา ในส่วนของพฤติกรรมที่บ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐก็ควรใช้อำนาจใน ระบบที่มีอยู่มาจัดการ นั่นคือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของสถาบันสูงสุด

กล่าวคือ ถ้าจะเอาเธอออกจริง ๆ ก็ควรจะใช้อำนาจในระบบคือผ่านข้อกฎหมาย มิใช่อำนาจนอกระบบอย่าง Social Sanction

ส่วน Social Sanction นั้นต้องแยกออกจากการใช้ในระบบ โดยสามารถใช้ได้นอกระบบเท่านั้น จะเป็นการถูกแบนในคณะ หรือเพื่อนไม่คบ หรือประณามไปทั่วคณะให้รู้จักกันทั่วไป จนแม่ค้าไม่ขายข้าวให้ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ควรนำมายุ่งเกี่ยวกับอำนาจในระบบ

ต้องอธิบายต่อว่าเรื่องนี้ เป็นคนละกรณีกับที่พนักงานเอกชนของบริษัท DHL ถูกไล่ออกเพราะ "ไม่รักในหลวง" เพราะนั่นเป็นกรณีพิพาทระหว่างบุคคลต่อบุคคล คือนิติบุคคล (บริษัท) กับบุคคล คือพนักงานคนนั้น ที่มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมือง และนิติบุคคลไม่ประสงค์จ้างเธอต่อไป อาจจะด้วยกลัวเสียภาพพจน์บริษัท หรือไม่พอใจอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ก็คือการใช้อำนาจในระบบของบุคคลต่อบุคคล

แต่ในกรณีนี้เป็นข้อพิพาท ระหว่างรัฐกับบุคคล คือรัฐต้องให้สิทธิการศึกษาแก่พลเมือง และมหาวิทยาลัยศิลปากรก็เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ สิทธิขั้นพื้นฐานนี้จึงจะถูกปฏิเสธเพราะความคิดต่างทางการเมือง ไม่ได้ เพราะจะส่งผลต่อสภาวะของระบบทั้งหมดดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

. ว่าด้วย "เด็กรุ่นใหม่ทำไม่รักในหลวง"

จบเรื่องของการแสดงความไม่ เห็นด้วยไว้ข้างบน มาพูดถึงข้อสังเกตของผมอย่างหนึ่งในปัจจุบันคือ "เด็กรุ่นใหม่ไม่รักในหลวง" ซึ่งดูเหมือนกำลังระบาดมากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยส่วนตัว ผมไม่รังเกียจคนที่จะบอกว่า "ไม่รักในหลวง" หากคน ๆ นั้นมีเหตุผล มีข้อเท็จจริงที่ชี้แจงได้มากพอ

อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ผมไม่อาย (แต่กลัวกฎหมายความมั่นคงฯ 55) ที่จะสารภาพว่า ศีรษะผมก็เคยเอียงด๊อกแด๊กไปทางซ้าย ๆ มาก่อน

ทำตัวซ้าย ๆ อ่านหนังสือซ้าย ๆ ทางรัฐศาสตร์ ฟ้าเดียวกงเดียวกัน ฉบับต้องห้ามและไม่ต้องห้าม เว็บประชาไท ไปจนหนังสือต้องห้ามอย่าง "กงจักรปีศาจ" "The King never smile" ฯลฯ

แต่ผมก็คิดว่า จะดีหรือหากเราจะเกลียดใครคนหนึ่ง โดยที่ไม่เคยรู้จักเขาจริง ๆ ผมก็เลยไปศึกษา "ตัวตน" ของพระองค์ผ่านพระราชกรณียกิจ พระราชดำรัสต่าง ๆ มาชั่ง ตวง วัด กับสิ่งที่ผมเคยรู้มา

จนวันนี้ผมอายุ ๒๓ ปี (ต้องระบุเลขอายุเพราะว่า วันข้างหน้าเมื่อผมอายุ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ความคิดอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้) การศึกษาทั้งหมดจนถึง ณ ขณะนี้ประมวลมาได้ว่า ผมภูมิใจที่เกิดมาในรัชสมัยของพระองค์

ผู้ที่นับได้ว่าเป็น "มหาบุรุษ" คนหนึ่งของโลก

ขนาดนั้นเลยเหรอ??

เอ้า ผมลองยกตัวอย่างง่าย ๆ สักเรื่องก็ได้ มีบทความสัมภาษณ์ที่ไปถามชาวบ้านสหกรณ์โคนมหนองโพ จังหวัดราชบุรี อันเป็นโครงการในพระบรมราชูปถัมภ์ มีคำตอบหนึ่งที่แสดงถึงพระปรีชาญาณของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ตอนชาวบ้านกราบทูลว่า อยากจะสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มเพื่อมาทำงานแทน คน จะได้ผลิตนมได้เร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้น พระองค์ทรงตอบว่า อย่าเลย เธอเอาเครื่องจักรมาทำงานแทนคน ได้ผลผลิตเร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็จริง แต่คนจะไม่มีงานทำ

นี่มันความคิดของมหาบุรุษ ชัด ๆ

หลายคนอาจจะยังงงอยู่ว่า เป็นมหาบุรุษอย่างไร ต้องมองลึก ๆ แล้วจะเห็นพระปรีชาญาณของพระองค์ครับ คำว่า "คนจะไม่มีงานทำ" ของพระองค์ไม่ใช่แค่ คนตกงาน แต่หมายถึง คนจะไม่มีส่วนร่วมในสหกรณ์แห่งนี้ครับ

อย่าลืมว่า สหกรณ์ คือ สห+กรณ หมายถึงการประกอบกิจร่วมกัน ดังนั้นการเอาเครื่องจักรมาจึงเป็นการทำลายหลักการพื้นฐานของ สหกรณ์ เพราะกิจที่ "คน" จะทำร่วมกันถูกเครื่องจักรแย่งไปทำเสียแล้ว มีคนบอกว่า งั้นก็เอาคนมาคุมเครื่องจักรสิ จะต้องคุมสักกี่คนกัน สุดท้ายก็จะมีคนคุมอยู่ไม่กี่คน มีคนจัดการอยู่ไม่กี่คน จากนั้นการขยายตัวของสหกรณ์จะไปไปในทางสั่ง ซื้อเครื่องจักรการผลิตเพิ่ม ไม่ใช่ขยายออกไปโดยการเพิ่มคนเข้ามา สุดท้ายสหกรณ์นี้ก็จะล่มสลายลง กลายสภาพไปเป็นบริษัทโคนมหนองโพ

หลายคนอาจจะบอก ก็ดีแล้วนี่ เป็นบริษัทกำไรเยอะดี ค่อยจ้างคนมาเยอะ ๆ แล้วคนก็จะมีงานทำเยอะ ๆ กันเอง ต้องมองว่าการล่มสลายของสหกรณ์ไม่ใช่แค่เรื่องทางกายภาพ เท่านั้นนะครับ แต่ถือเป็นการล่มสลายทางสังคมด้วย เพราะสหกรณ์เกิดขึ้นมาจากการร่วมกันของคนหลาย ๆ คน มี "ข้อผูกพันทางใจ" เป็นสัญญาช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ "สัญญาจ้าง" แบบบริษัท การมีข้อผูกพันทางใจทำให้คนเต็มใจเข้ามาช่วยเหลือกันด้วยความโอบ อ้อมอารี อันเป็นวิถีดั้งเดิมของสังคมไทย แต่ถ้าเมื่อใดสหกรณ์ล่มสลายลงกลายเป็นบริษัท เมื่อนั้นระบบสัญญาจ้างที่ให้ความสำคัญกับ "กฎระเบียบ" และ "เงินตรา" ก็จะเข้ามาแทนที่ ซึ่งสองอย่างนี้จะทำลายความโอบอ้อมอารี ความไว้เนื้อเชื่อใจลง และเมื่อมี "เงิน" เข้ามามาก ๆ จากการได้กำไรมาก คนจะเห็นแก่เงินและประโยชน์ส่วนตัวมากขึ้น นอกจากนั้นยังเกิดระบบสายบังคับบัญชาแบบ "เจ้านาย-ลูกน้อง" ไม่ใช่ "พี่-น้อง" เหมือนเดิม และทำลายระบบความสัมพันธ์ของสังคมเดิมลงจนหมด เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสังคมเมือง สุดท้ายก็จะมีคนไม่กี่ตระกูลที่รวย คือบรรดาเจ้าของบริษัท ส่วนคนอื่นก็จะถูกลดชั้นมาเป็นพนักงาน และถูกกดขี่ เกิดความแตกแยกทางชนชั้นมากขึ้น

การดำรงอยู่ของสหกรณ์จึง เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการดำรงอยู่ของระบบความสัมพันธ์ของสังคมเดิม (ที่ควรจะดำรงอยู่ต่อไป) การขยายการผลิตของสหกรณ์จึงไม่น่าจะใช้วิธี การเพิ่มเครื่องจักร เพราะจะเป็นตัวเร่งให้สหกรณ์ล่มสลายเร็วขึ้น แต่ควรเป็นไปด้วยการขยายจำนวนคน แม้ว่าที่สุดแล้วอาจจะได้รายได้น้อยกว่าใช้เครื่องจักร แต่ลักษณะทางกายภาพและลักษณะทางสังคมของสหกรณ์จะยังดำรงอยู่ คือเป็น "พี่-น้อง" ที่มาช่วยกันด้วย "น้ำใจ" และเมื่อสหกรณ์ยิ่งเติบโตขึ้น ขยายวงกว้างกันมากขึ้น คนที่มาร่วมกันก็จะยิ่งรักกันมากขึ้นทั้งจำนวน และความผูกพัน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่ากำไรที่เป็นเงินเสียอีก

นี่แหละคือพระปรีชาญาณของ พระองค์ที่ทรงมีสายพระเนตรที่กว้างขวาง เอ้อ ใช้ราชาศัพท์มาก คนอ่านอาจจะเหนื่อย เอาเป็นว่าพระองค์ "ฉลาด" และ "มองการณ์ไกล" เอามาก ๆ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเข้าใจสภาพพื้นฐานของสังคมไทยเป็นอ ย่างดี ตลอดจนเห็นตัวอย่างของสังคมเมืองที่ถูก "ระบบบริษัท" และ "ทุนนิยม" มาทำลายลักษณะความโอบอ้อมอารี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทยไปสิ้น จึงทำให้เห็นต่อเนื่องไปอีกว่า พระองค์ไม่ได้เสด็จต่างจังหวัดแบบโก้ ๆ เก๋ ๆ หรือที่นักวิชาการซ้ายหลายคนพยายามชี้ว่าพระองค์ "สร้างภาพ" แต่พระองค์ทรงเสด็จแบบจริง ๆ จัง ๆ และได้เรียนรู้ เก็บข้อมูลลักษณะสังคม ยิ่งกว่า NGO หลายคน จึงจะเห็นว่า "ระบบสหกรณ์" และ "เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ได้เกิดขึ้นมาเป็นนโยบายโก้ ๆ แต่คือความพยายามในการรักษา "ลักษณะของสังคมไทยที่ดี" เอาไว้ให้ได้มากที่สุดของพระองค์

นี่แหละครับคำตอบว่า "อย่าเลย เธอเอาเครื่องจักรมาทำงานแทนคน ได้ผลผลิตเร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็จริง แต่คนจะไม่มีงานทำ" จึงเป็นคำตอบของมหาบุรุษ

นี่แค่ตัวอย่างเดียว ต้องใช้พื้นที่อธิบายขนาดนี้ อันที่จริงผมมีอีกหลายตัวอย่างจากการศึกษามา ว่าจะเขียนรวมเล่มเป็นหนังสือแต่ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา (ข้ออ้าง) เอาเป็นว่าอย่าลืมเตือนผมตอนผมว่าง ๆ ก็แล้วกันนะ

นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมคนหัวเอียงอย่างผมถึงกลับมาทำหัวตรง ถวายความรักความนับถือให้พระองค์จนหลายคนเข้าใจผิดว่าผมเป็น Royalist หัวรุนแรง ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้ถวายความรักความนับถือให้พระองค์แบบไม่ลืมหูลืมตา แต่มีเหตุผลมากพอที่จะบอกว่า ทำไมผมถึงมีจุดยืนเช่นนี้

เช่นเดียวกัน หากใครมีเหตุผลมากพอที่จะมีจุดยืนที่แตกต่าง ผมก็ไม่เคยรังเกียจ เช่นเดียวกับน้องคนนั้น 



สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็น ปัจจัย ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ "ไม่รักในหลวง" นั่นเป็นเพราะกระแส "ลัทธิซาบซึ้ง" ที่ถูกปลุกขึ้นมาในช่วงปี ๔๖-ปัจจุบัน ที่สอนให้เรารักในหลวงแบบ "ลัทธิ" ไม่ใช่ "ความเข้าใจ" เช่น บอกลูกบอกหลานว่า "รักในหลวงนะลูก" - "ทำไมล่ะแม่" - "เพราะพระองค์ทำเพื่อแผ่นดิน" - "ยังไงล่ะแม่" - "ทรงเสด็จไปพัฒนาท้องที่ทุรกันดาร" - "ไปไหนบ้างล่ะแม่" - "ทั่วประเทศจ๊ะ" - "ไปที่ไหน ไปทำอะไรบ้างล่ะแม่" - ...(คิดในใจ นั่นสินะ แม่ก็ไม่รู้จ๊ะ แม่จำได้ลาง ๆ ว่าทรงทำฝนหลวง แล้วก็เสด็จอีสาน แต่ไปไหนแม่ก็ไม่รู้)

ดูเหมือนว่าภาพของกษัตริย์ ที่เด็กรุ่นใหม่เห็นในปัจจุบัน จะเป็นเรื่องอภินิหารปรัมปรา (Myth) เรื่องราวพระราชกรณียกิจของพระองค์ก็เป็นเหมือนเรื่องเล่า นานแสนนานจนจับต้องไม่ได้ ทั้งที่ทุกสิ่งที่พระองค์ทำนั้นเป็นเรื่องที่มีบันทึกไว้ทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าเราสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้น้อยเกินไป หรือเราศึกษาเรื่องราวของพระองค์ท่านน้อยเกินไป ส่วนหนึ่งผมขอกล่าวโทษสำนักราชเลขาธิการ หรือส่วนอื่นส่วนใดก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องที่ไม่สามารถทำให้ประชาชน เข้าถึง "ความดีงาม" และ "พระปรีชาญาณ" ของพระองค์ได้มากพอ แต่กลับปลุกเร้าในทำนอง "ลัทธิ" ทั้งที่ความดีงามของพระองค์นั้นมีมากมายจนทำให้คน "รักอย่างเข้าใจ" ได้ไม่ยากเลย (ตรงกันข้ามกับอดีตนายกฯ แม้ว ที่ต้องปลุกเร้าให้คนรักแบบ "ลัทธิ" เพราะไม่สามารถให้คนรักแบบ "เข้าใจ" ได้ เพราะเมื่อใดที่คนที่รักแม้วเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร คนนั้นจะหมดรักแม้วทันที) ถ้าสามารถทำให้ทุกคน "รักอย่างเข้าใจ" ได้ "ลัทธิซาบซึ้ง" ก็ไม่จำเป็นเลยสำหรับการ "รักในหลวง"

การทำให้การ "รักในหลวง" เป็น "ลัทธิซาบซึ้ง" จึงสุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบจากฝ่ายที่ไม่เห็น ด้วย นอกจากนั้นยังมีการพยายามเสนอความคิดในลักษณะ "เปิดโปง" ความไม่ดีไม่งามบางประการอย่างผิด ๆ เช่นที่บทความหนึ่งได้กล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เพราะบทความนั้นรวมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าไปใน บัญชีรายชื่อทรัพย์สินของพระองค์ด้วย ทั้งที่สำนักงานนี้โดยเนื้อแท้แล้วเป็นสำนักงานที่อยู่ในความ ควบคุมของรัฐ พระองค์ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามชอบใจ และเงินคงคลังแผ่นดินส่วนมากก็จะอยู่ในนี้ ดังนั้นพระองค์จึงเป็นเจ้าของทรัพย์สินนี้แต่ในนาม การจะ "ตีขลุม" เอาว่าพระองค์ "รวย" ก็ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมต่อพระองค์นัก อย่างไรก็ดี ก็มีหลายคนที่พร้อมจะเชื่อบทความดังกล่าวโดยไม่ลังเล และไม่ไตร่ตรอง เพราะสำคัญว่าเรานี่ช่างวิเศษเหลือเกินที่ "ได้รู้ได้เห็น" ความลับที่ใครอื่นไม่รู้ นี่แค่ตัวอย่างเดียวนะครับ ยังมีตัวอย่างอีกมากที่ได้รับการเผยแพร่จากนักวิชาการไร้ความรับ ผิดชอบ แต่ไม่มีใครออกมาชี้แจง การไม่ออกมาชี้แจงของฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึง ทำให้สถาบันถูกมองว่าเป็น "สิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้" และ "มีความลับที่ไม่ดีมากมายในนั้น" ทั้งที่ความจริงแล้ว "การตรวจสอบ" และ "การชี้แจง" เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สถานะของสถาบันกษัตริย์มีความ มั่นคงมากกว่า "ความเชื่อ" และ "ความรักแบบไม่เข้าใจ"

อีกประการหนึ่ง ใครที่เคยเป็นวัยรุ่น ก็น่าจะเข้าใจครับ วัยนั้นมัน "วัยแห่งการต่อต้าน" หรือ "วัยขบถ" เป็นปมอย่างหนึ่งที่ถ้าเรียนจิตวิทยามาจะเข้าใจ คือคนมีปมด้อย เลยไม่อยากทำตัวเหมือนคนส่วนใหญ่ ไม่อยากตามกระแส ไม่อยากทำตามคำสั่งใคร เพราะจะ "ไม่มีตัวตน" และจะ "ไม่ได้รับการยอมรับ" ทีนี้ก็เอามาปนกับเรื่องนี้ ถ้าคนส่วนใหญ่รักในหลวง แม่สั่งให้รักในหลวง หนูก็จะไม่รักดื้อ ๆ นี่แหละ มีอะไรมั้ย จะคิดต่างใครจะทำไม เพื่อให้ได้มี "ที่ยืนอันแสนโดดเด่น" ในสังคม โดยเฉพาะเมื่อเกิดการ "รักในหลวง" ที่ถูกทำให้เป็น "กระแส" (อาทิ วิสต์แบนด์ เสื้อเหลือง-ชมพู ฯลฯ) มากกว่ารักเพราะศรัทธาอย่างแท้จริง (ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรทำ ให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง) กระแสมันมาแบบนี้ ก็จะมีวัยรุ่นหลาย ๆ คนที่ไม่อยาก "ตามกระแส" ก็เลย "ไม่รักในหลวง" ไปซะแบบนั้น ก็เป็นเรื่องของเด็กที่เข้าใจได้ครับ อันนี้ไม่ได้ดูถูกความรู้สึกนึกคิดของวัยรุ่นว่าคิดเองไม่เป็นนะ ครับ แต่มันมีส่วนหนึ่งที่อธิบายได้แบบนี้

จึงต้องกลับมาทบทวนครับว่า หลายสิ่งที่เราทำเพื่อให้สถาบันสูงสุดดำรงอยู่นี้ เราทำได้ถูกต้องเหมาะสมเพียงใด และควรปรับปรุงอะไรบ้าง กรณีน้องณัฐกานต์ถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานทางการ ศึกษาเพราะ "ไม่รักในหลวง" นั้นเหมาะสมมากน้อยหรือไม่เพียงใด จากนี้ไป สถาบันกษัตริย์จะต้องเผชิญกับอันตรายหลายด้าน และสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงที่จะดำรงอยู่ กฎหมายหมิ่นฯ ก็เป็นเพียงระบบหนึ่งที่จะประกันความมั่นคงได้ส่วนหนึ่ง แต่กฎหมายนั้นไม่สามารถเข้าไปบีบบังคับความคิด-ความเชื่อของคนใน รัฐได้ สำหรับในคนรุ่นเก่านี้ ผมเองคิดว่าสถาบันกษัตริย์ยังมีความมั่นคงมากพอ จากหลายปัจจัย แต่ในคนรุ่นต่อไป การท้าทายพระราชอำนาจและความมั่นคงของสถาบันจะมีมาก ขึ้น ซึ่งก็เป็นโจทย์สำคัญสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า จะทำอย่างไรในอนาคตเพื่อให้ความมั่นคงของสถาบันนี้ยังคงอยู่

ผมคงจะไม่ขอให้คนรุ่นใหม่คิด แบบเดียวกับที่ผมคิด เพราะความคิดของคนเราสามารถมีความแตกต่างได้ ผมมีเพียงคำถามที่อยากฝากไว้สำหรับคนรุ่นใหม่ในวันนี้ที่ "ไม่รักในหลวง" ขอให้ถามตัวเองว่า ๑.ทำไม ๒.เราจะรักหรือไม่รักใครคนหนึ่งโดยที่เราไม่รู้จักเขาจริง ๆ จะยุติธรรมต่อคน ๆ นั้นไหม ไม่ต้องตอบผมครับ ถามตัวเองแล้วตอบตัวเอง ถ้าสามารถตอบตนเองได้โดยได้คำตอบที่ตนเองพอใจ ผมก็จะไม่ไปก้าวก่ายความคิดของท่าน

มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมอยาก จะขอก็คือ ขอแค่อย่าคิดจะไม่รักเพราะคิดว่าเท่ เป็นแฟชั่น ขอให้แตกต่างจากคนอื่นเป็นดี โดยไม่ใช้ "สมอง" ไตร่ตรองเลยครับ


โดย นายวุฒินันท์ ชัยศรี

บทความนี้คัดลอกมาจาก Watch red shiet ศุนย์ปฏิบัติการติดตามคนเสื้อเเดง ในส่วนของ Webborad








บทกวีเพื่อประชาธิปไตย


จาก หนังสือ เพราะใจ
โดยผ่องพรรณ "สายกมล"
พ.ศ.๒๕๑๙
บทกวีเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ.๒๕๑๙
ไปพบบทกลอนนี้เข้า ทำให้นึกถึงหลายๆ ท่าน จึงขอนำมาแบ่งปันกันอ่าน
ไม่ได้คิดเป็นอื่นเพียงบทกลอนสละสลวย สัมผัสด้วยอักษรออกมาได้อย่า่งงดงาม
จาก หนังสือ เพราะใจ โดย ผ่องพรรณ " สายกมล 


จุดไฟแค้นในหัวใจไทยทุกผู้....จะนิ่งอยู่ได้ไฉนให้กังขา
เราเรียกร้องเพียงเื่พื่อสิทธิ์อิสรา.....เพื่อประชาธิปไตรได้เสรี
เขามีสิทธิ์อะไรไล่เข่นฆ่า..............เหมือนผักปลาเหมือนล่าสัตว์น่าบัดสี
ทั้งรถถังอาวุธยุทธวิธี...................เขาราวีราวศัตรูคู่สงคราม
เราไม่มีอะไรไปสู้เขา...................สองมือเปล่ากล้าสู้ได้ไม่เกรงขาม
แม้จะรู็ว่าชีวิตต้องปลิดตาม............สู้ด้วยความเจ็บแค้นแน่นหัวใจ



ณ จุดเริ่มที่หน้าวังเขายังกล้า...อหังการใช้อำนาจทำบาตรใหญ่
ทั้งที่เราเลิกชุมนุมแยกกลุ่มไป........เขากลับใช้ความรุนแรงกลั่นแกล้งเอา
แก๊สน้ำตาราวน้ำกรดเขาหยดราด.....พิษร้ายการแสบร้อนราวไฟเผา
เราแตกหนีข้ามคูน้ำเขาตามเรา........ยิงกราดเอากระบองซ้ำเขาย่ำยี
วิงวอนขอเขายังไม่ไว้ชีวิต...............ยังจำติดตาเพื่อนหญิงเราวิ่งหนี
เสียงกรีดร้องเมื่อเขาซ้ำกระหน่ำตี.....วายชีวีคาไม้ไม่ทันเงย



แล้วออกข่่าวโป้ปดมดเท็จว่า...เขาขว้างปาระเบิดขวดตำรวจเผย
ไม่ได้ทำรุนแรงพวกเราเลย..............ได้แต่เฉยจนเจ็บตายหลายสิบคน
เราจะเฉยอยู่ทำไมให้ข่มเหง.............ไม่กลัวเกรงแม้จะตายวายชีพป่น
เพียงสองมือขอสู้เข้าตาจน...............ดีกว่าทนเขาทำร้ายแต่ฝ่ายเดียว
เขากลับเอารถถังตั้งยิงกราด.............กระสุนสาดระเบิดก้องสยองเสียว
เหมือนใบไม้ร่วมกล่นจากต้นเชียว......ไม่ทันเหลียวแลหลังสั่งเสียใคร
ไม่สาใจยิงจากฟ้าเหมือนห่าฝน..........เขาบินวนกระสุนสาดยิงกราดใส่
ที่ไม่ตายยังเหลืออยู่สู้ต่อไป..............เลือดหลั่งไหลเนืองนองดังท้องธาาร


ดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์............แสนผ่องผุดต้องพลอยมีสีแดงฉาน

ไม่มีเว้นแม้แพทย์พยาบาล................เขาสังหารดับดิ้นสิ้นชีวา
ความเหี้ยมโหดกว่านี้ยังมีไหม............ความทารุณที่ใดเปรียบได้หนา
หมดสิ้นแล้วความปรานีมีเมตตา..........ความกรุณาเคยสว่างจางดับลง
นี่นะหรือชายชาญทหารกล้า...............ไล่เข่นฆ่าคนเล่นเป็นผุยผง
เพียงมือเปล่าไร้อาวุธยุทธยง..............ยังฆ่าลงเล่นได้ไม่เลิกรา


แม้นไม่สู้วันนี้มีวันหรือ.............ที่จะรื้อสู้เขาได้ในวันหน้า

ล้างความกลัวให้พี่น้องผองประชา.........เพื่อรักษาความเป็นไทยให้ยืนนาน
เราพลีชีพชีวิตอุทิศให้........................ฝากแรงใจทรงคุณค่ามหาศาล
ความพร้อมใจสามัคคีที่ร่วมงาน............ความกล้าหาญเพียงใดไม่ปรวนแปร
ดวงวิญญาณเราทุกผู้อยู่ที่นี่.................จะไม่ลี้หลีกไปที่ไหนแน่
คอยพิทักษ์ปวงไทยใครรังแก..............ให้มันแพ้ภัยตนทุกคนเทอญ......


บทกวีเพื่อประชาธิปไตย
จาก หนังสือ เพราะใจ
โดยผ่องพรรณ " สายกมล "
พ.ศ.๒๕๑๙

รู้..เเละ ก็เสื่อม


ท่าน ว.วชิรเมธี



รู้ดีรู้ชั่ว แต่กลับพูดเข้าข้างคนชั่ว ก็เสื่อม



รู้เว้นอบายมุข แต่กลับคบคนชั่วเป็นมิตร ก็เสื่อม




รู้คุณค่าภาษาไทย แต่กลับไม่ศึกษาภาษาอื่น ก็เสื่อม




รู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน แต่ไม่รู้คุณผู้เสียภาษีให้แผ่นดิน ก็เสื่อม



รู้ที่ต่ำที่สูง แต่ไม่รู้ว่าคนเราเกิดมาก็เป็นมนุษย์เช่นก

ัน ก็เสื่อม




รู้กาลเทศะ แต่ไม่รู้ถึงความเดือดร้อนเร่งด่วน ก็เสื่อม




รู้ว่าชีวิตมีขึ้นลง แต่จมไม่ลง ก็เสื่อม




รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่พยายามดึงฟ้าลงมาต่ำ ก็เสื่อม




รู้จักตนเอง แต่ไม่เรียนรู้ตนเอง ก็เสื่อม




รู้วิธีบริหารใจ แต่ทนไม่ได้ที่ใครติติง ก็เสื่อม




รู้วิธีบริหารเงิน แต่ไม่เคยแบ่งปัน ก็เสื่อม




รู้วิธีฝึกใจให้สูง แต่เอาตัวเองรอดคนเดียว ก็เสื่อม




รู้คุณพ่อคุณแม่ แต่ไม่เคยทดแทนคุณท่าน ก็เสื่อม




รู้จักให้อภัย แต่ปลดปล่อยพวกชั่วร้าย ก็เสื่อม




รู้กฎแห่งกรรม แต่ก็ยังทำชั่วอยู่ ก็เสื่อม




รู้จักคุณค่าเวลา แต่เอาเวลาไปทำเรื่องมิชอบ ก็เสื่อม




รู้จักการเข้าหาสังฆะ แต่หมกมุ่นเรื่องโชคลาภ ก็เสื่อม




รู้จักยกพฤติกรรมให้สูง แต่ดูถูกผู้อื่น ก็เสื่อม




รู้จักเลี้ยงลูก แต่ไม่รู้จักสอนลูก ก็เสื่อม




รู้จักรับผิดชอบ แต่ไม่รู้จักเสมอต้นเสมอปลาย ก็เสื่อม




รู้จักเห็น แต่ไม่รู้จักทำ ก็เสื่อม




รู้จะนับถืออย่างไร แต่ยังคงงมงาย ก็เสื่อม




รู้จักศิลปะการพูด แต่คนฟังไม่เข้าใจ ก็เสื่อม




รู้วิธีเตรียมตัวตาย แล้วก็ห่วงกองสมบัติ ก็เสื่อม




รู้จักที่จะสอนคนอื่น แต่ไม่รู้จักจะเป็นแบบอย่างให้คนอื่นเห็น ก็เสื่อม








นำมาจากคุณพี่ Veera เหลืองชมพูเหนือหัวชาวไทย