Suggestion Post

Review ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 6 อวสานหงสา

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ภาค 6 อวสานหงสา        ตอนสุดท้ายของตำนานแห่งประวัติศาสตร์ไทย บทสุดท้ายที่เล่าเรื่องของจุดจบของพ...

2554-06-16

สมุดปกขาว อัมสเตอร์ดัม ฉบับสมบูรณ์ โดยประชาไท(ตอน ๒)

การขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (เมื่อปี 2549 อภิสิทธิ์เป็นผู้นำพรรคระดับภูมิภาคขนาดใหญ่ซึ่งมีนั่งน้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่นั่งในสภาทั้งหมด) มีช่องทางเดียวคือการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และการล้มล้างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยซึ่งประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2540 หลังจากรัฐประหาร รัฐบาลทหารดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อทำลายล้าง “ระบอบ” ทักษิณ กระบวนการทำลายล้างนั้นรวมความถึงการยุบพรรคไทยรักไทยผ่านการบังคับใช้ กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ย้อนหลัง การตัดสิทธิเลือกตั้งของนักการเมืองที่โดดเด่น การกำหนดโทษในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการฟ้องร้องทักษิณ ชินวัตรเป็นคดีอาญาจำนวนมาก แต่แม้จะใช้มาตรการเหล่านี้แล้ว ก็ยังไม่สามารถขัดขวางประชาชนจากการลงคะแนนให้กับพรรคที่สืบทอดจากพรรคไทย รักไทยในการเลือกตั้งปลายปี 2547 ที่สำคัญไปกว่านั้น ขบวนการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยของคนรากหญ้ายังได้ถือกำเนิดขึ้น เนื่องจากการทำลายเจตจำนงของประชาชนซ้ำๆ ทำลายสถาบันตัวแทนของประเทศไทย รวมถึงการปราบปรามทางการเมืองที่เปิดฉากโดยการรัฐประหารปี 2549 ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยนี้ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเป็นผลมาจากการที่ฝ่ายอำมาตย์คว่ำผลการเลือกตั้งในปี 2550 ส่งผลให้อภิสิทธิ์ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปลายปี 2551

หลังทศวรรษแห่งการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีการเลือกตั้งที่เป็น อิสระและเปิดเผย 3 ครั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ประเทศไทยก็ถูกยึดครองโดยการใช้กำลังทหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะที่ทักษิณเข้าร่วมการประชุมทั่วไปขององค์การสหประชาชาติในกรุงนิวยอร์ก ทหารเข้ายึดครองเมืองหลวง การรัฐประหารนำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก โดยได้รับความร่วมมือของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ คณะรัฐบาลทหารมีชื่อว่า “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเหลือเพียง “คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตย” (คปค.) เพื่อป้องกันการ “เข้าใจผิด” เกี่ยวกับ “บทบาทของสถาบันกษัตริย์” [35]
เหตุผลที่ใช้กล่าวอ้างในการทำรัฐประหารนั้น คปค. ประกาศว่า (1) รัฐบาลทักษิณนำไปสู่ “ปัญหาความแตกแยกและบ่อนเซาะความสามัคคีในหมู่คนไทย (2) คนไทยส่วนใหญ่มีข้อกังขาต่อรัฐบาลทักษิณว่ามี “สัญญาณของการคอร์รัปชั่นและทุจริตอย่างรุนแรง และ (3) องค์กรอิสระถูก “แทรกแซง” ซึ่งนำไปสู่ “ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการกับพฤติกรรมทางการเมือง [36] คปค.ระบุว่า แม้จะมีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะ “ประนีประนอม คลี่คลายสถานการณ์มาโดยต่อเนื่องแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยุติลงได้” ดังนั้นพลเอกสนธิจึง “มีความจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน” [37]
แม้ว่าพลเอกสนธิ จะให้คำมั่นต่อสาธารณะในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2549 ว่า “กองทัพจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง” เพราะ “การรัฐประหารโดยทหารนั้นเป็นเรื่องในอดีต” [38] แต่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตรได้ยอมรับในเวลาต่อมาว่าการรัฐประหารนั้นถูกเตรียมการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ [39] พลเอกสนธิซึ่งทำหน้าที่อย่างเต็มประสิทธิภาพในฐานะหัวหน้า คปค. [40] ควบคุมรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จและรวดเร็ว และวางรากฐานสำหรับการฟื้นฟูบทบาททางการเมืองของกองทัพในระยะยาวและและหาทางสืบทอดอำนาจในอนาคต
พลเอกสนธิประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศไทย [41] โดยหวังควบคุมการเคลื่อนไหวของกองทัพและตำรวจอย่างเต็มที่ [42] เขายกเลิกรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540 ยกเลิกวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญ เขาทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในนามของหัวหน้า คปค. (ทั้งโดยผ่านตัวเขาเอง) หรือผ่านผู้ที่เขาแต่งตั้ง [43] พร้อมทั้งทำหน้าที่ในส่วนที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาทั้งในระดับสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา [44] ยิ่งไปกว่านั้น เขาประกาศว่า ศาลทั้งหลาย นอกจากศาลรัฐธรรมนูญคงมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาอัตถคดี “ตามบทกฎหมายและตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข” [45] ที่น่าสังเกตคือ พลเอกสนธิประกาศว่าองคมนตรี “คงดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ต่อไป” [46]
คปค.กำหนดมาตรการเพื่อควบคุมกระบวนการทางการเมืองทั้งหมดของประเทศทันที พลเอกสนธิประกาศว่าการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม 2549 จะถูกเลื่อนไปอีก 1 ปี [47] แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการเลือกตั้งใดๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคตนั้นเป็นไปตามที่ คปค.กำหนดเท่านั้น
คณะกรรมการการเลือกซึ่งตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เพื่อจัดการปัญหาการซื้อเสียงที่มีมาอย่างยาวนานนั้นมีหน้าที่จัดการและวาง ระเบียบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก รวมถึงมีหน้าที่ในการไต่สวนการทุจริตเลือกตั้ง ความเป็นอิสระของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีหลักประกันอยู่ที่การกำหนดวาระการ ดำรงตำแหน่งของกรรมการการเลือกตั้งวาระละ 7 ปี และห้ามดำรงตำแหน่งซ้ำหลังจากหมดวาระ [48] หลังการรัฐประหาร พลเอกสนธิแต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเพิ่งได้รับคัดเลือกจากวุฒิสภา และเพื่อให้แน่ใจว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นเป็นไปโดย “กระบวนการและการจัดการที่เป็นธรรมและเป็นกลาง” [49] พลเอกสนธิให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่สามารถเพิกถอนสิทธิเลือก ตั้งของผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งหากเชื่อได้ว่าบุคคลผู้นั้นได้กระทำการ ทุจริตหรือละเมิดกฎหมายในการเลือกตั้ง [50]
คปค. ยังประกาศห้ามการชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คน โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และ/หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท [51]ทั้งห้ามพรรคการเมืองจัดการประชุมหรือดำเนินกิจกรรมอื่นใดทางการเมือง และระงับการจัดตั้งหรือจดทะเบียนพรรคการเมือง [52] ที่สำคัญที่สุดอาจได้แก่การที่ คปค.เขียนกฎหมายตัดสิทธิคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรคในการมี ส่วนร่วมกับกิจกรรมทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี แม้ว่าการกระทำที่ถูกกล่าวหานั้นจะได้กระทำลงก่อนการรัฐประหารก็ตาม [53]

ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งเป็นชื่อใหม่ของคณะรัฐบาลทหาร เริ่มใช้ธรรมนูญชั่วคราว[54] และแต่งตั้งสุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและองคมนตรี ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การประกาศใช้ธรรมนูญชั่วคราวนั้นได้ฟื้นฟูรูปแบบของการแก้รัฐธรรมนูญที่ยอม รับผู้นำการรัฐประหารโดยทำให้การยึดอำนาจโดยทหารเป็นสิ่งที่โดยชอบด้วย กฎหมาย ตัวอย่างเช่น ธรรมนูญชั่วคราวถือว่าประกาศหรือคำสั่งของ คมช.ที่ประกาศใช้หลังการรัฐประหารมี “ความชอบธรรมและสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ” [55] ธรรมนูญชั่วคราวยังกำหนดให้ผู้นำ คมช. และบุคคลที่เกี่ยวข้อง “ไม่ต้องถูกลงโทษจากความรับผิดและการลงโทษใดๆ” แม้จะพบในภายหลังว่าในการยึดอำนาจนั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ตาม [56]
ธรรมนูญชั่วคราวกำหนดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งสมาชิกมาจากการแต่ง ตั้งโดย คมช. เพื่อทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเดิม โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการออกกฎหมายทั้งหมด [57]
ธรรมนูญชั่วคราวยังกำหนดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรขึ้นใหม่ เริ่มจากการตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้นโดยมีสมาชิกสมัชชาจำนวน 2,000 คนซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ หัวหน้าคมช. เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสมัชชาฯ โดยหัวหน้าคมช. นั้นเองเป็นผู้จัดเตรียมรายชื่อและควบคุมการเสนอชื่อบุคคลเข้าดำรงตำแหน่ง สมาชิกสมัชชาฯ [58]จาก นั้นสมัชชาแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายชื่อที่ถูกคัดเหลือ 200 คนเป็นผู้ชิงตำแหน่งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทำการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ [59] รายชื่อนั้นถูกนำเสนอต่อ คมช. ซึ่งจะทำการตัดลงให้เหลือ 100 คนเพื่อทูลเกล้าฯ และรับสนองพระบรมราชโองการโดยคมช. [60] คมช. คัดสมาชิกจากจำนวน 100 คนเหลือ 25 คน จากนั้นแต่งตั้ง “ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย” อีก 10 คน ที่สุดแล้วจะได้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 35 คน โดยกระบวนการเช่นนี้ คมช. สามารถใช้อำนาจควบคุมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยตรง [61]
ขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เริ่มโหมประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณะเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าร่างรัฐธรรมนูญ นั้นจะผ่านการลงประชามติ สสร.ใช้งบประมาณราว 30 ล้านบาทเพื่อการรณรงค์ซึ่งรวมถึงการรณรงค์ผ่านสถานีโทรทัศน์ เคเบิลทีวี วิทยุ เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ หน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษาและแม้แต่ป้ายโฆษณา  [62] และแม้ว่าจะมีการจัดอภิปรายเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญแต่ก็กลับถูกถ่ายทอดผ่าน ทางช่องเคเบิลทีวีเท่านั้น ไม่สามารถที่จะถ่ายทอดการผ่านสถานีฟรีทีวีที่รัฐบาลเป็นเจ้าของคลื่น รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างเป็นทางการให้มีการรณรงค์แบบเคาะประตูบ้านเพื่อผลัก ดันให้ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ สสร.จัดตั้งให้มีการรณรงค์ทั่วประเทศในช่วงใกล้การลงประชามติ และผู้ที่จะไปลงประชามติได้เดินทางฟรี ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่มีความผิดทางอาญาฐานละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง
เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพประการหนึ่งที่รัฐบาลทหารใช้เพื่อสร้างความ มั่นคงให้กับการลงคะแนนเสียงเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ก็คือการนำเสนอว่ากระบวนการลงประชามตินั้นเป็นสิ่งจำเป็นจะนำไปสู่การเลือก ตั้ง การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลทหารก็คือสร้างความเชื่อมั่นว่าการยอมรับร่างรัฐ ธรรมนูญจะเป็นขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการจัดการเลือกตั้ง ผู้ลงประชามติจำนวนมากเลือก “รับ”ด้วยความมุ่งหวังที่จะกลับไปสู่ระบอบรัฐสภา ไม่ใช่เพราะพวกเขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างรัฐธรรมนูญปี 2550 กับรัฐธรรมนูญปี 2540 [63] ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลทหารถือสิทธิ์ที่จะนำเอารัฐธรรมนูญเก่าฉบับอื่นๆ ซึ่งบางฉบับมีลักษณะเสรีนิยมมาก มาใช้แทน (และปรับแก้ตามสมควร) หากว่าประชาชนลงประชามติไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
สมัชชาแห่งชาติผ่านพระราชบัญญัติประชามติโดยกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับ การแสดงความเห็นในทางสาธารณะที่มีลักษณะต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองถูกปิดกั้นไม่ให้โน้มน้าวผู้ลงประชามติให้เห็นชอบหรือไม่เห็น ชอบร่างรัฐธรรมนูญโดยกำหนดโทษจำคุก 10 ปี ผู้ใด “ขัดขวาง” การลงประชามติจะถูกดำเนินคดีอาญา และหากผู้นั้นเป็นผู้บริหารพรรคการเมืองก็จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี [64] กฎอัยการศึกยังคงมีผลบังคับ ผู้ที่ต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญถูกข่มขู่และเอกสารที่ต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญ นั้นถูกยึดจากบ้านและที่ทำการไปรษณีย์ ผู้ประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร 2549 ถูกจับกุมด้วยความผิดอาญา [65] คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียประณามว่าพระราชบัญญัติประชามตินั้นเป็น ความพยายามที่ชัดเจนว่ามุ่ง “ข่มขู่และปิดปากบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับทางการ” [66] ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกระบวนการรับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
วันที่ 19 สิงหาคม 2550 รัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 ผ่านการลงประชามติด้วยจำนวนผู้ลงคะแนนที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถูกประกาศใช้ในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 [67] รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 นั้นมีความแตกต่างอย่างสำคัญจากหลักที่รัฐธรรมนูญ 2540 ให้ความคุ้มครองไว้ ตัวอย่างคือ รัฐธรรมนูญ 2550 นั้นกลับไปสู่ระบบก่อนรัฐธรรมนูญ 2540 นั่นคือการเลือกตั้งแบบหลายเขต ซึ่งเป็นให้โอกาสแก่พรรคการเมืองขนาดเล็กมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดรัฐบาลผสมที่ไม่มีเสถียรภาพ ขณะที่ยังคงระบบบัญชีรายชื่อไว้ แต่ก็ลดสัดส่วนปาร์ตี้ลิสต์จาก100 คน เหลือ 80 คน ยิ่งไปกว่านั้น ฐานคะแนนของระบบปาร์ตี้ลิสต์จากเดิมที่กำหนดให้ทั่วประเทศเป็นหนึ่งเขตเลือก ตั้ง ก็ถูกเปลี่ยนเป็นฐานคะแนนตามภูมิภาค การแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างไม่ยุติธรรมและค่อนข้างเทอะทะนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อลดแรงสนับสนุนของผู้ที่จงรักภักดีต่อทักษิณ [68] ระบบเลือกตั้งวุฒิสมาชิกตามรัฐธรรมนูญ 2540 ถูกเปลี่ยนเป็นกำหนดให้มีวุฒิสมาชิกจำนวน 150 คน โดย 76 คนมาจากการเลือกตั้ง และอีก 75 คนมาจากการแต่งตั้งโดยผ่านคณะกรรมการคัดเลือกซึ่งมีที่มาจากผู้พิพากษาและ ข้าราชการระดับสูง [69] การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถูกดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันอำนาจจากการเลือกตั้งที่โดดเด่นแบบที่เคยเกิดกับพรรคไทยรักไทย [70]

คมช. ซึ่งเข้าสู่อำนาจด้วยการใช้กำลังบังคับ ทำลายพรรคไทยรักไทยและทำลายความนิยมของพรรค ในเดือนมกราคม 2550 รัฐบาลทหารจัดสรรงบประมาณลับจำนวน 12 ล้านบาท สำหรับการรณรงค์เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือและนโยบายของรัฐบาลทักษิณ [71]ตามรายงานกล่าวว่ารัฐบาลทหารอนุมัติให้มีการโฆษณารณรงค์โดยใช้เงินภาษีจาก ประชาชน-ดำเนินการโดยบริษัทโฆษณาซึ่งมีญาติของรองเลขาธิการ คมช.- พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นเจ้าของกิจการ - ทั้งยังก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์คนสำคัญ รวมถึงกรณ์ จาติกวณิช และกอบศักดิ์ สภาวสุ [72]
ดังที่กล่าวไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญถูกยกเลิกไปทันทีเมื่อมีการรัฐประหาร ธรรมนูญชั่วคราวแต่งตั้งองค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญจำนวน 9 คน โดยองค์คณะทั้งหมดเป็นผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งโดย คมช. [73] ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 องค์คณะตุลาการที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นทำการวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทย [74] ชัดเจนว่าการตัดสินคดีนั้นวางอยู่บนการวินิจฉัยว่าพรรคไทยรักไทยติดสินบน พรรคการเมืองฝ่ายค้านพรรคเล็กๆ ให้เข้าร่วมการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2549 พรรคประชาธิปัตย์ (คู่ต่อสู้สำคัญของไทยรักไทยในสภา) ถูกกล่าวหาด้วยข้อกล่าวหาอย่างเดียวกัน แต่ศาลตัดสินให้พ้นผิด นอกจากการตัดสินยุบพรรคที่เคยเป็นพรรครัฐบาลแล้ว ศาลยังตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจำนวน 111 คนเป็นเวลา 5 ปีโดยอาศัยความตามประกาศ คมช.ฉบับที่ 27 ที่กำหนดให้บทลงโทษมีผลย้อนหลัง นี่เป็นการทำให้แน่ใจว่าเมื่อพรรคการเมืองถูกยุบ แกนนำพรรคจะไม่อาจลงเลือกตั้งได้อีกในนามของพรรคการเมืองอื่น ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นการกระทำผิดตามข้อกล่าวหานั้น เกิดขึ้นหลายเดือนก่อนการประกาศใช้ประกาศ คมช. ฉบับที่ 27 แกนนำพรรคไทยรักไทยส่วนใหญ่ไม่ได้รับโอกาสในการแก้ต่างในศาล [75]
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียกล่าวถึงการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่า
“ด้วยเหตุนี้ เราได้เห็นปรากฏการณ์พิเศษที่คณะผู้พิพากษาซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาล ทหารที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งและต่อต้านประชาธิปไตยดำเนินการตัดสินการกระทำ ของพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งซึ่งถูกกล่าวหาว่าบ่อนทำลายกระบวนการ ประชาธิปไตย” [76]
ในระบอบใหม่นี้ การเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบ แกนนำพรรคถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง ภาพลักษณ์ของพวกเขาเสื่อมเสีย และพรรคที่ครั้งหนึ่งไม่มีใครเอาชนะได้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ

ในเดือนสิงหาคม 2550 อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยรวมตัวกันอีกครั้งอย่างไม่สะทกสะท้านต่อผลการยุบ พรรคไทยรักไทย โดยใช้ชื่อพรรค “พลังประชาชน” ผู้นำพรรคคือนายสมัคร สุนทรเวช นักการเมืองชาวกรุงเทพฯ ผู้แก่พรรษา เพียงไม่นานหลังจากที่พรรคพลังประชาชนก่อตั้งขึ้น คมช.ก็มีคำสั่งห้ามกิจกรรมทางการเมืองของพรรค ทำให้พรรคร้องทุกข์กล่าวโทษ คมช. ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการการเลือกตั้งเพิกเฉยต่อคำร้องทุกข์ดังกล่าวซึ่งกล่าวหาว่า คมช. มีความผิดจากการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองโดยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ ใหม่แทนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. [77]
วันที่ 23 ธันวาคม 2550 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งครั้งแรกนับจากมีรัฐประหาร แม้ คมช.จะต่อต้านและใช้กลยุทธ์ในการปราบปรามอย่างหนัก แต่พรรคพลังประชาชนก็ได้ที่นั่งในสภาผู้แทนจำนวนมาก โดยชนะการเลือกตั้ง 233 ที่นั่งจากทั้งหมด 480 ที่นั่ง แม้ว่าคณะกรมการการเลือกตั้งตัดสิทธินักการเมืองคนสำคัญที่ลงเลือกตั้งในนาม พรรคพลังประชาชนไปจำนวนมากแล้วก็ตาม [78] พรรคจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ โดยนายสมัคร สุนทรเวชขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 29 มกราคม 2551 ถือเป็นอีกครั้งที่การเลือกตั้งแสดงให้เห็นถึงระดับความมุ่งมั่นของคนไทยใน การกำหนดใจตนเองผ่านการเลือกตั้งขณะที่เผชิญกับการประหัตประหารกันทางการ เมือง เมื่อต้องเผชิญกับการเลือกตั้งที่ส่งผลให้ได้รัฐบาลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผล ประโยชน์ของตนเอง อำมาตย์ก็ใช้แนวทางใหม่ แทนที่จะยึดอำนาจโดยการใช้กองกำลังอีกครั้ง อำมาตย์เลือกทำลายรัฐบาลโดยอาศัยการประท้วงที่ใช้ความรุนแรงบนท้องถนนและการ ขัดขวางบริการสาธารณะที่สำคัญ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลับมาปรากฏตัวบนท้องถนนของกรุงเทพฯ อีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2551 ซึ่งเป็นเวลาเพียง 5 เดือนหลังรู้ผลการเลือกตั้ง และเมื่อการประท้วงที่ยืดเยื้อกว่าสามเดือนบนถนนราชดำเนินไม่ประสบความ สำเร็จในการสร้างแรงเสียดทานใดๆ ในปลายเดือนสิงหาคมผู้ชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่ติดอาวุธก็บุกเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ในกรุงเทพฯ บุกกระทรวงหลายกระทรวงและยึดทำเนียบรัฐบาลไว้เพื่อกีดกันไม่ให้รัฐบาลสามารถ ทำงานได้ ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ยึดสนามบินในจังหวัดภูเก็ต กระบี่และหาดใหญ่ ปิดกั้นถนนสายหลักและทางด่วน สหภาพรัฐวิสาหกิจขัดขวางการเดินรถไฟทั่วประเทศและขู่ว่าจะตัดน้ำตัดไฟ สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำของพันธมิตรฯ มีโอกาสถอนเงินจำนวนมหาศาลจากบัญชีธนาคารซึ่งได้มาจากผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ที่ร่ำรวย [79]
พันธมิตรฯ เรียกร้องให้ “รัฐบาลหุ่นเชิด” ของนายสมัคร ลงจากตำแหน่ง แต่น่าสังเกตว่าไม่ได้เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่เพื่อหารัฐบาลมาทำ หน้าที่แทน [80] แต่กลับเรียกหาการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ดังที่นิตยสาร ดิ อิโคโนมิสต์ ระบุว่า “พันธมิตรฯ อ้างว่า ไม่ว่าอย่างไรรัฐบาล (สมัคร) ก็ไม่ชอบธรรม เพราะเชื่อว่าคนจนไม่สมควรจะมีสิทธิลงคะแนนเสียงเนื่องจากพวกเขาโง่เกินไป” [81]
เมื่อครั้งที่พันธมิตรฯ พยายามขับไล่รัฐบาลทักษิณในปี 2549 นั้น กลุ่มพันธมิตรฯ อภิปรายว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่ระบอบเผด็จการภายใต้การนำของทักษิณ และพันธมิตรฯ ร้องหาการแทรกแซงจากพระมหากษัตริย์โดยอ้างว่าเป็นความจำเป็นของประเทศเพื่อ เป็นหนทางไปสู่การเป็น “ประชาธิปไตย” ที่สมบูรณ์ แนวทางในการรณรงค์ที่เล่นโวหารเรื่องประชาธิปไตยของพันธมิตรฯ อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพันธมิตรฯ จึงสามารถเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากคนทั่วไปจำนวนมากในกรุงเทพฯ และที่อื่นๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่นิยมและให้การสนับสนุนพันธมิตรฯ ส่วนใหญ่ค่อยๆ ลดลง ขณะที่พันธมิตรฯยังคงกิจกรรมอย่างต่อเนื่องในปี 2551 จากการต้องเผชิญกับการชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนน้อยและความล้มเหลวของการ รัฐประหาร กติกาใหม่จึงถูกกำหนดตามมา การล่าแม่มดเกิดขึ้นอีกครั้งเพื่อต่อ ต้านเศษซากที่เหลืออยู่ของพรรคไทยรักไทยเพื่อให้รัฐบาลเอื้อประโยชน์ต่อ อำมาตย์มากขึ้น ยุทธศาสตร์ของพันธมิตรฯ นั้นรุนแรงขึ้นและมีลักษณะสุดโต่ง ประการแรก พันธมิตรฯ เพิ่มแนวทางที่รุนแรงมากขึ้น ประการที่ 2 แกนนำอภิปราย ต่อต้าน ประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยตำหนิว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในต่างจังหวัดและชนชั้นล่างจำนวนมากยังคงถูก หลอกได้ง่าย ไม่มีการศึกษา และถูกครอบงำจากความต้องการทำให้ไม่อาจลงคะแนนอย่างมีเหตุผล [82] สิ่งที่พันธมิตรฯ เสนอให้นำมาใช้แทนก็คือการลดจำนวนนักการเมืองในสภาลงให้เหลือ 30 เปอร์เซ็นต์จากที่นั่งในสภาทั้งหมด และปล้นอำนาจในการกำหนดนโยบายของประเทศจากนักการเมืองเหล่านั้น
แม้ว่าประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทยจะมีลักษณะผกผัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะได้ยินกลุ่มจัดตั้งประกาศต่อสาธารณะว่าต่อต้าน ประชาธิปไตยด้วยท่าทีที่ถืออภิสิทธิ์และแข็งกร้าว แต่กระนั้น สิ่งที่โลกได้เห็นจากพันธมิตรฯ ก็คืออุดมการณ์อย่างเป็นทางการของประเทศซึ่งฝังลึก นั่นคือการแยกแยะความแตกต่างอย่างเด่นชัดทางจารีตระหว่างชนชั้นปกครองจำนวน น้อยกับผู้อยู่ใต้การปกครอง ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำให้พันธมิตรฯ หวาดกลัวไม่ใช่การคาดการณ์ว่าทักษิณ “คอร์รัปชั่น” หรือ เป็น “เผด็จการ” การที่พันธมิตรฯ ต้องการให้กองทัพซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรที่มีการคอร์รัปชั่นมากที่สุดของ ประเทศเข้าแทรกแซงทางการเมืองโดยไม่เอ่ยถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเลวร้าย ขององค์กรนี้เลยนั้น เป็นตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นว่าพันธมิตรฯ ไม่ใส่ใจต่อประชาธิปไตยและนิติรัฐ สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดของพันธมิตรฯ ก็คือความนิยมที่ทักษิณได้รับอันเนื่องมาจากนโยบายและการที่ทักษิณปลูกฝัง และให้อำนาจแก่กลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทในการเมืองไทยในฐานะผู้ ถูกกระทำ ดังที่นักวิชาการผู้หนึ่งกล่าวว่า “อาชญากรรมที่แท้จริง” ของทักษิณก็คือเขา “ไม่จำเป็นต้องชนะการเลือกด้วยการซื้อเสียงอีกต่อไป” [83]
กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งโดยแก่นแท้แล้วเป็นองค์กร “รากหญ้าเทียม” นั้นมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนรวยในกรุงเทพฯ ได้รับเงินทุนจากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นหนี้ต่อเหล่าอิทธิพลที่หนุนหลังผู้มีอำนาจในกองทัพ สภาองคมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเคย พันธมิตรฯและผู้หนุนหลังรู้สึกว่าการคุกคามจาก พรรคไทยรักไทยและพรรคที่สืบทอดนั้นทบทวี
ในด้านหนึ่ง ทักษิณได้ให้สิทธิพิเศษกับกลุ่มอำนาจในกรุงเทพฯ ซึ่งเคยได้ประโยชน์จากงบประมาณของรัฐ ในเรื่องนี้ คาร์ล ดี. แจคสัน นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อสกินส์อภิปรายว่า “ปัญหาพื้นฐานของระบบการเมืองไทยก็คือเงินกระจุกอยู่ในกรุงเทพฯจำนวนมาก ขณะที่ผู้มีสิทธิคะแนนเสียงส่วนใหญ่นั้นอยู่นอกกรุงเทพฯ” [84] สิ่งที่ศ.แจ็คสันละเลยไม่ได้กล่าวถึงก็คือ แม้ว่าจุดศูนย์รวมความมั่งคั่งของประเทศอยู่ในเมืองหลวงที่มีลักษณะพิเศษ อย่างยิ่ง แต่ว่าบรรดาผู้มีฐานะในกรุงเทพฯ กลับยังไม่ยอมรับแนวคิดว่าประเทศควรจะปกครองด้วยตัวแทนที่ได้รับการคัดเลือก จากเสียงส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในต่างจังหวัด
ในอีกด้านหนึ่ง ข้อเท็จจริงอันบริสุทธิ์ก็คือกลุ่มพลเมืองที่ตื่นตัวและรวมกลุ่มกันลงคะแนน ให้กับพรรคการเมืองเดียวนั้นเป็นการคุกคามและลดทอนความสำคัญของสถาบันที่ไม่ ผ่านการเลือกตั้งและนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมองเห็นแล้วว่าความ แข็งแกร่งในการเลือกตั้งลดลงอย่างต่อเนื่อง นักการเมืองคนสำคัญของพรรคอย่างสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และสำราญ รอดเพ็ชร ยังมีสถานะเป็นแกนนำพันธมิตรฯ อีกด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนปัจจุบัน,กษิต ภิรมย์ ก็ปรากฏตัวในการชุมนุมของพันธมิตรฯ บ่อยครั้งในช่วงที่พันธมิตรฯ ยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิอย่างผิดกฎหมาย รัฐมนตรีกว่าการกระทรวงการคลังคนปัจจุบัน กรณ์ จาติกวณิช กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าเขาสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ แม้ในที่สุดแล้วจะมีการก่อความรุนแรงอย่างน่ารังเกียจ และมีลักษณะของการต่อต้านประชาธิปไตยอย่างรุนแรง แต่กรณ์ได้เขียนอธิบายผ่านบทความในบางกอกโพสต์ ซึ่งใช้สัญลักษณ์แสดงความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรฯ กับพรรคประชาธิปัตย์ว่า :
“เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันดีว่าแกนนำคนหนึ่งของ พันธมิตรเป็น ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมกับพันธมิตรในนามส่วนตัวก็ตาม
“ผู้ปราศรัยจำนวนมากก็เป็นผู้ลงสมัครรับเลือก ตั้งในสมัยที่ผ่านมา มากกว่าหมื่นคนที่เข้าร่วมการชุมนุมเป็นผู้ที่ลงคะแนนให้กับพรรคประชาธิปัต ย์ ที่สำคัญที่สุด พันธมิตรฯ และผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ มีข้อคิดเห็นเช่นเดียวกันกับเราว่ารัฐบาลนั้นไม่มีความชอบธรรมทั้งในทาง กฎหมายและในทางจริยธรรม”
เขาเสริมว่า:
“ผมเชื่อด้วยว่า ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์โดยตัวเองแล้วไม่สามารถจะต้านทานพรรคพลังประชาชนหรือรัฐบาล จากการใช้อำนาจในทางที่ผิดในช่วงเวลา 7 เดือนที่ปกครองประเทศ ผมคิดว่าหากปราศจากความพยายามของเราที่เคียงข้างกันมา ก็เหมือนว่ารัฐธรรมนูญนั้นได้รับการแก้ไขและให้ความคุ้มครองเฉพาะทักษิณและ พรรคพลังประชาชนเท่านั้น”[85]
ด้วยการกระทำอย่างเดียวกันนั้น ผู้ที่สนับสนุนคนเสื้อแดงถูกฟ้องร้องในข้อหากบฏและแกนนำเสื้อแดงถูกกล่าวหา ในความผิดฐานก่อการร้ายซึ่งอาจมีโทษประหารชีวิต แต่คนอย่างกรณ์และกษิต ได้รับรางวัลเป็นตำแหน่งรัฐมนตรี
วันที่ 9 กันยายน 2550 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้นายกรัฐมนตรีสมัครพ้นจากตำแหน่งตามคำฟ้องของนักการ เมืองฝ่ายค้านและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้วยความผิดจากการดำเนินรายการสอนทำอาหารผ่านรายการโทรทัศน์ ซึ่งถือเป็นการกระทำต้องห้าม ที่ห้ามรัฐมนตรีรับค่าตอบแทนจากนายจ้างอื่น [86] นายสมัครโต้แย้งว่าเขาไม่ได้ถูกว่าจ้างโดยสถานีโทรทัศน์และแม้ว่ารายการจะ ออกอากาศในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง แต่การบันทึกเทปนั้นทำก่อนที่จะเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งเหล่านั้นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าฟังไม่ขึ้นและลงมติเป็นเอกฉันท์ ให้เขาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรื่องที่น่าตลกก็คือว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรายหนึ่งคือ นายจรัญ ภักดีธนากุลเองก็รับเชิญไปออกรายการวิทยุและได้รับค่าตอบแทนจากการสอนกฎหมาย ในมหาวิทยาลัยเอกชนเป็นประจำขณะที่กำลังดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ด้วย วันที่ 18 กันยายน 2551 สมชาย วงษ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายสมัคร กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งยึดทำเนียบรัฐบาลอยู่ปฏิเสธที่จะสลายการชุมนุม
บางที จุดเปลี่ยนอาจจะอยู่ที่วันที่ 7 ตุลาคม เมื่อเกิดความรุนแรงระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและพันธมิตรฯ ราวๆ สองถึงสามพันคนที่หน้าสภาผู้แทนราษฎร โดยฝ่ายพันธมิตรฯ พยายามปิดกั้นทางเข้ารัฐสภา มีประชาชนบาดเจ็บหลายร้อยคนจากเหตุชุลมุน การ์ดพันธมิตรยิงปืนและขว้างระเบิดปิงปองเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาและไม้กระบอง สมาชิกของกลุ่ม พันธมิตรฯ เสียชีวิตไป 2 คน รายหนึ่งเป็นหญิงสาวซึ่งเสียชีวิตเพราะถูกแก๊สน้ำตาที่ผลิตจากประเทศจีนยิง เข้าใส่โดยตรง อีกรายหนึ่งเป็นการ์ดซึ่งไม่ได้เสียชีวิตจากการปะทะ แต่เสียชีวิตขณะที่รถของเขาระเบิดหน้าที่ทำการพรรคชาติไทย พระราชินีเสด็จไปในการพระราชทานเพลิงศพ น.ส. อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หญิงสาวที่เสียชีวิตหน้าสภาผู้แทนราษฎร ส่วนอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมาก็ได้แสดงการสนับสนุนพันธมิตรฯ ด้วยการไปร่วมงานศพของนายเมธี ชาติมนตรี ซึ่งเป็นไปได้ว่าเสียชีวิตจากเหตุก่อการร้ายด้วยระเบิดของเขาเอง
ในเวลานั้น อภิสิทธิ์ได้แสดงความเห็นอย่างต่อเนื่องซึ่งขัดแย้งอย่างรุนแรงกับสิ่งที่ เขาทำในการสังหารประชาชนภายใต้การกำกับดูแลของเขาเอง [87] ยิ่งไปกว่านั้นเขายังแถลงข่าวอย่างเกรี้ยวกราดประกาศท่าทีของพรรคต่อกรณีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับพันธมิตรฯ ว่า:
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่นายกฯ ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ว่าเป็นผู้ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือมิเช่นนั้นก็จงใจให้เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น แต่ว่าที่เลวร้ายกว่าการโยนความผิดหรือความพยายามปัดความรับผิดชอบไปให้เจ้า หน้าที่ก็คือว่า วันนี้พัฒนาไปสู่กระบวนการใส่ร้ายประชาชน ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเรามีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัสแล้ว เรายังมีรัฐที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ ผมเคยได้ยินคนในฝ่ายรัฐบาลชอบถามคนนั้นคนนี้ว่า เป็นคนไทยหรือเปล่า แต่พฤติกรรมที่ท่านแสดงอยู่นั้น ไม่ใช่เป็นคนไทยหรือเปล่า แต่เป็นคนหรือเปล่า
วันนี้ในทางการเมืองความชอบธรรม(ของรัฐบาลสมชาย) มันหมดไปแล้วครับ เราเรียกร้องความรับผิดชอบจากท่าน (นายกรัฐมนตรี) ท่านจะลาออก หรือถ้าท่านกลัวว่าถ้าท่านลาออกแล้วจะเป็นเรื่องที่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์จะ ไปมีอำนาจท่านก็ยุบสภาเถิดครับ แต่ท่านเพิกเฉยไม่ได้ เพราะถ้าท่านเพิกเฉยแล้ว ท่านทำร้ายบ้านเมืองและท่านกำลังทำร้ายระบบการเมือง
“ไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชน ถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้ว รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ” [88]
บันทึกเหตุการณ์ถัดจากนี้ แสดงให้เห็นว่าอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านได้ฝ่าฟันการเปลี่ยนแปลง ครั้งสำคัญบนเส้นทางที่นำพาเขาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ม็อบพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ทำให้มีนักท่องเที่ยวตกค้างเป็นจำนวนหลายแสนคน พร้อมกันนั้น พันธมิตรฯ ยังทำการยึดสนามบินนานาชาติดอนเมืองเพื่อขัดขวางความพยายามของรัฐบาลที่จะ จัดเส้นทางการบินเข้าออกใหม่ ผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ หลายพันคนใช้โล่มนุษย์ป้องกันการเข้าสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีรายงานข่าวด้วยว่าพันธมิตรฯ หลอกใช้เด็กโดยการจ้างพ่อแม่ของเด็กเพื่ออนุญาตให้เด็กเข้าร่วมการชุมนุม [89] ขณะเดียวกันการ์ดพันธมิตรฯ ซึ่งสามารถเอาชนะตำรวจได้ทำการตั้งด่านปิดกั้นทางเข้าสนามบินสุวรรณ [90] รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเรียกให้ทหารเข้ามาทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพปฏิเสธที่จะทำตาม ในทางตรงกันข้าม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กลับเรียกร้องผ่านทางสาธารณะให้รัฐบาลลาออก ความพยายามของรัฐบาลในการขับไล่ผู้ชุมนุมไม่ประสบความสำเร็จ เศรษฐกิจเสียหายจากการยึดสนามบินราวหนึ่งหมื่นสองพันล้านเหรียญสหรัฐ [91]
ในวันที่ 2 ธันวาคม เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กระบวนการยุติธรรมที่ถูกการเมืองครอบงำเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ แสดงความจำนนให้เห็น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชนและพรรค ร่วมรัฐบาลได้แก่ พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรคเป็นเวลา 5 ปี ในบรรดานักการเมืองที่ถูกตัดสิทธินั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยทันที [92] ภายในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา สนธิ ลิ้มทองกุลจัดแถลงข่าวและประกาศว่าพันธมิตรฯ จะยุติการยึดสนามบิน เขาไม่ลืมที่จะประกาศด้วยว่าพันธมิตรฯ จะกลับมาต่อสู้อีกหากหุ่นเชิดของทักษิณกลับมามีอำนาจ [93] ตรงกันข้ามกับแกนนำ นปช. ซึ่งถูกทหารควบคุมตัวเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ไม่มีแกนนำคนไหนของพันธมิตรฯ ที่ต้องนอนค้างคืนในคุกด้วยความผิดฐานฝ่าฝืนกฎอัยการศึก ยึดสนามบิน ทำลายสิ่งก่อสร้างในทำเนียบรัฐบาล หรือยิงประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เป็นที่น่าสังเกตว่าข้อกำหนดเรื่องการยุบพรรคซึ่งศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็น ฐานในการตัดสินคดีนั้นอยู่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ตามที่คณะรัฐบาลทหารเรียกร้อง มองเผินๆ แล้วก็เหมือนมีเป้าหมายที่จะเพิ่มความเข้มแข็งให้กับฝ่ายตุลาการต่อสู้กับ การคอร์รัปชั่น รัฐธรรมนูญกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะทหารใช้อำนาจ อย่างกว้างขวางในการล้มล้างอำนาจผู้ที่ประชาชนเลือกมา ด้วยลักษณะที่คล้ายกันมากกับธรรมนูญชั่วคราวซึ่งถูกนำมาใช้ภายหลังการรัฐ ประหาร รัฐธรรมนูญ 2550 ให้ทางเลือกแก่ศาลในการยุบพรรคการเมืองใดๆ ก็ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งพบว่าคณะกรรมการบริหารพรรคหรือผู้สมัครของ พรรคแม้เพียงรายเดียวทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อมีการตัดสินยุบพรรคการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญอาจตัดสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดเป็นเวลา 5 ปี คดีตัวอย่างเช่น ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิคณะกรรมการบริหารพรรคโดยอาศัยฐาน การกระทำความผิดของยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทุจริตการเลือกตั้งครั้งล่าสุด แม้ว่าจะมีการฟ้องร้องพรรคประชาธิปัตย์ในกรณีเดียวกัน แต่กลับพบว่าศาลเลี่ยงที่จะสั่งให้มีการยุบพรรค
มันเป็นเพียงควันหลงจากการปะทะที่ชอกช้ำระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรฯ สนามบินถูกยึด ผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญทำให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมและ ส่งผลให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 18 ธันวาคม 2551 รัฐบาลผสมนั้นเป็นหนี้บุญคุณมุ้งการเมืองที่สำคัญในพรรคไทยรักไทยซึ่งหัว หน้ามุ้งก็คือนายเนวิน ชิดชอบผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง และอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลังประชาชนอย่างเช่นพรรคชาติไทยพัฒนาซึ่งตั้งขึ้น โดยอดีตนายกรัฐมนตรีบรรหาร ศิลปอาชา ผู้เคยเป็นพันธมิตรกับทักษิณมาก่อน ข้อตกลงบรรลุในวันที่ 6 ธันวาคมที่บ้านของผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มีรายงานข่าวว่าในการประชุมครั้งนั้น พล.อ.อนุพงษ์กล่าวเตือนผู้ร่วมการประชุมว่า เขาพูดแทน “ชายเจ้าของถ้อยคำที่ไม่อาจปฏิเสธได้” [94]
แม้ว่าในการเลือกตั้งในปี 2544, 2548, 2549 และ 2550 ซึ่งประชาชนไทยได้แสดงความนิยมต่อพรรคที่เชื่อมโยงกับทักษิณด้วยเสียงข้าง มาก ซึ่งครองเสียงข้างมากทั้งโดยพรรคเดียวและหลายพรรครวมกันในการเลือกตั้งแต่ละ ครั้ง อำมาตยาธิปไตยฟื้นฟูได้ด้วยรัฐประหารโดยทหาร 15 เดือนแห่งการปราบปราม ฟ้องร้อง ทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน การยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบินหลักของชาติอย่างผิดกฎหมาย และคำพิพากษาตามอำเภอใจที่มีออกมาเป็นลำดับเพื่อยุบพรรคการเมืองใหญ่ 4 พรรค ยุบรัฐบาล 3 รัฐบาล และปรับเปลี่ยนระบบกฎหมายของประเทศให้เป็นไปตามความพอใจและผลประโยชน์ของ อำมาตย์
กระนั้นก็ตาม การที่ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมการชุมนุมของพันธมิตรฯ บทบาทพันธมิตรฯ ในฐานะเครื่องมือที่ผลักดันอภิสิทธิ์สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และการที่พรรคประชาธิปัตย์ให้คำมั่นต่อพันธมิตรฯ ว่าจะไม่ถูกลงโทษภายใต้รัฐบาลประชาธิปัตย์ ทำให้ความสัมพันธ์ของกลุ่มการเมืองทั้งสองอยู่ในสภาวะน่าวิตก แกนนำพันธมิตรฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สนธิ ลิ้มทองกุลตำหนิการเมืองแบบเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีการต่อรองทางการเมืองซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ถูกบังคับให้ต้องเกี่ยวดองกับ นักการเมืองที่ฉาวโฉ่เรื่องการทุจริตเนื่องจากความพยายามตั้งรัฐบาลผสมและ ประคับประคองไปด้วยกัน [95]
ยิ่งกว่านั้น พันธมิตรฯ หวนกลับมาวิพากษ์วิจารณ์จุดอ่อนอันเป็นที่รับรู้รวมถึงความไม่แน่วแน่ของของ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่พันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง “พรรคการเมืองใหม่” [96] ตั้งแต่เดือนแรกๆ ที่อภิสิทธิ์ขึ้นดำรงตำแหน่ง โดยมีนโยบายปกป้องสถาบันกษัตริย์และทำความสะอาดการเมืองไทย อันเป็นภารกิจที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการให้พวกเขาได้ดี พอ สนธิ ลิ้มทองกุลวิพากษ์ว่าอภิสิทธิ์ไม่มีศักยภาพที่จะนำพาประเทศไปข้างหน้า และเรียกร้องให้ “คืนอำนาจรัฐสภาให้พระมหากษัตริย์” [97] และเสนอแนะว่ากองทัพควรจะทำการรัฐประหารหากอภิสิทธิ์ไม่สามารถที่จะสร้าง “ธรรมาธิปไตย” ที่ห่างไกลจากระบบรัฐสภาซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “ที่อยู่ของเหล่าอสูร” [98]
ตามความเป็นจริง ความสัมพันธ์อันกลมกลืมระหว่างพันธมิตรฯ และประชาธิปัตย์และการดำรงอยู่ร่วมกันที่น่าอึดอัดนั้น อาจอธิบายได้ว่าทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตรฯ เป็นเสมือนปีกสองข้างของโครงสร้างหลวมๆ ของกลุ่มอำนาจเก่าในประเทศไทย พันธมิตรฯ เป็นปีกนอกกลไกรัฐสภาซึ่งทำให้มีการปฏิบัติการบนท้องถนนได้เมื่อต้องการ ขณะที่ประชาธิปัตย์เป็นปีกภายใต้กลไกรัฐสภาซึ่งมีหน้าที่แสดงบทบาทรัฐบาลที่ ถูกครอบงำโดยกองทัพ ที่ปรึกษาของกษัตริย์และผู้นำทางธุรกิจ สำหรับทั้งสององค์กร สิ่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของฝ่ายอำมาตย์ถือเป็นประเด็นสำคัญทั้งในแง่ อุดมการณ์และความจำเป็น อย่างน้อยที่สุดทั้งสองกลุ่มนี้ไม่อาจที่จะบรรลุถึง อำนาจที่ตนถือครองอยู่ในปัจจุบันหากไม่ได้รับการหนุนหลังจากกองทัพ การอุปถัมภ์จากคนในราชสำนักที่ทรงอิทธิพล และการเกื้อหนุนจากครอบครัวที่มั่งคั่งในกรุงเทพฯ
การที่กลุ่มอำนาจเก่าสนับสนุนพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ส่งผลต่อความวุ่นวายที่ไปไกลกว่าความขัดแย้งภายใน ประเทศ พันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงในประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร นำพาประเทศไปสู่ความเสี่ยงที่จะก่อสงครามกับประเทศกัมพูชาในพื้นที่พิพาท ซึ่งถูกศาลระหว่างประเทศตัดสินไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 (โดยสร้างความพึงพอใจแก่คู่กรณีทั้งสองประเทศ) แต่ในปี 2551 นายสมัครและพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลลงนามยินยอมให้รัฐบาลกัมพูชา นำเขาพระวิหารขอขึ้นทะเบียนต่อคณะกรรมการมรดกโลกขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) พันธมิตรฯ และบรรดาผู้สนับสนุนปั้นแต่งว่านี่เป็นหลักฐานว่า “นอมินีของทักษิณ” มีเจตนาที่จะยกเขตแดนไทยให้กัมพูชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ ซึ่งเป็นผู้ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ไทย-กัมพูชาถูกกดดันให้ลาออก ในเดือนกรกฎาคม 2551 กลุ่มชาตินิยมพยายามปักธงชาติไทยในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณใกล้เขาพระวิหาร ซึ่งเป็นการกระทำที่ส่งผลให้เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังทหารไทยกับทหาร กัมพูชา [99] ช่วงเวลาที่เวทีพันธมิตรฯ เรียกร้องทุกคืนให้ “คืนเขาพระวิหารให้กับประเทศไทย”[100] และกษิต ภิรมย์ ซึ่งต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศบนเวทีพันธมิตรฯ ขณะที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ว่าจะเอาเลือดสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชามาล้างเท้า นับแต่นั้นมากำลังทหารของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชายิงตอบโต้กันในพื้นที่ใกล้ ปราสาทเขาพระวิหารหลายครั้ง ความผันผวนของภูมิภาคที่ถูกจุดขึ้นโดยการกระทำของพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์สร้างความตื่นตระหนกให้กับคู่ค้ารายใหญ่ของไทย ประเทศไทยค่อยๆไหลลื่นไปสู่การปกครองแบบเผด็จการทหาร และทำลายศักยภาพของภูมิภาคอาเซียนด้วยระบบที่โหดร้ายในระดับเดียวกับรัฐบาล ทหารพม่า ความมืดบอดด้วยความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อทักษิณ อำมาตย์และหมู่มิตรในพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยยับยั้งการกระทำของตัวเองแม้ว่าจะเกิดผลกระทบ ระหว่างประเทศร้ายแรงตามมา

000

ด้วยความโกรธและคับข้องใจที่ถูกทำลายเจตจำนงของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตลอดจนการปราบปรามการแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างเป็นระบบต่อ สมาชิกและผู้ที่เห็นอกเห็นใจกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่รู้จักกันในนาม “คนเสื้อแดง” หลายแสนคนจากทุกจังหวัดทั่วประเทศจึงเริ่มเคลื่อนสู่กรุงเทพฯ ในวันที่ 12 มีนาคม 2553 โดยประกาศว่าจะไม่เลิกชุมนุมจนกว่านายอภิสิทธิ์จะยุบสภาและมีการเลือกตั้ง ใหม่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาเรียกร้องบนท้องถนนของเมืองหลวง กรณีที่รับรู้กันดี คือการชุมนุมครั้งใหญ่ที่เมื่อเดือนเมษายน 2552 อย่างไรก็ตาม การชุมนุมครั้งใหม่นี้ถูกอธิบายว่าเป็น “สงครามต้านเผด็จการครั้งสุดท้าย” สองเดือนให้หลัง กลุ่มคนเสื้อแดงยังคงปักหลักอยู่หลังแนวป้องกัน ซึ่งสร้างขึ้นรอบจุดยุทธศาสตร์และจุดที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์

สำหรับ นปช. แล้ว การแสดงพลังครั้งนี้คือผลจากการทำงานด้วยความอุตสาหะตลอดหลายปี เป็นก่อตัวขึ้นหลังการรัฐประหารโดยกลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ถูกโค่นอำนาจ กลุ่มคนเสื้อแดงกลายมาเป็นพลังกดดันเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่ประชาธิปไตยใน ช่วงเวลาหลายปีที่ถูกแทรกแซง ขอบคุณความพยายามอย่างไม่รู้เหนื่อยที่สร้างความตระหนักรู้ ระดมกำลังสนับสนุน และสร้างองค์กรที่ซับซ้อนขยายไปทั่วพื้นที่ของประเทศ ถือเป็นขบวนการทางสังคมที่กว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยปรากฎขึ้นในประวัติ ศาสตร์ไทย จนอาจบอกได้ว่า ในขณะนี้ นปช. ก่อให้เกิดขบวนการประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
เนื่องจากกลุ่มคนเสื้อแดงได้รับแรงสนับสนุนจำนวนมากจากภาคเหนือของไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ยากแค้น ชนชั้นล่างในเมือง กลุ่มคนที่สนับสนุนและนักวิจารณ์จึงมักอธิบายไปในทางเดียวกันว่าการต่อสู้ ของพวกเขาเป็น “การต่อสู้ทางชนชั้น” แม้ว่าชนชั้นจะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญอย่างยิ่งต่อวิกฤตทางการเมืองของไทย แต่กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้ต่อสู้ใน “สงครามชนชั้น” ระหว่างคนจนกับคนรวย
นปช.ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะขจัดความแตกต่างทางชนชั้นหรือแก้ไขโครง สร้างพื้นฐานทางสังคมของประเทศ อันที่จริง แม้ว่าการเรียกร้องมาตรการความยุติธรรมทางสังคมและโอกาสทางเศรษฐกิจจะเป็น องค์ประกอบหลัก แต่กลุ่มคนเสื้อแดงให้ความสำคัญกับแนวคิดเรื่อง “โอกาสที่เท่าเทียม” และ “ความเสมอภาค” แบบเดียวกับการเคลื่อนไหวกระแสหลักที่ต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองและสิทธิทาง การเมืองมากกว่าความคิดเรื่องความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ตามแบบฉบับของลัทธิมาร์กซ
โดยแท้จริงแล้ว การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจน้อยกว่าเรื่องของการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต่อสู้เพื่อการถูกนับรวมและสิทธิในการออกเสียงทางการเมืองอย่างสมบูรณ์ นปช.ได้สรุปประเด็นทางการเมืองของพวกเขาไว้ในหลัก 6 ประการ เพื่อเน้นให้เห็นถึงมิติการต่อสู้ทางการเมืองของพวกเขา ที่มากกว่าความไม่พอใจทางเศรษฐกิจ: 
1) เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายทางการเมืองการปกครองคือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์เป็นประมุข ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนไทยอย่างแท้จริง เราปฎิเสธความพยายามใดๆ ทั้งในอดีตและอนาคต ในการใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือเพื่อปิดปากความเห็นต่างหรือเพื่อขับ เคลื่อนประเด็นโดยจำเพาะเจาะจง
2) ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 นำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ และปรับปรุงแก้ไขด้วยขั้นตอนที่โปร่งใส ผ่านการปรึกษาหารือและเป็นประชาธิปไตย
3) ผสานคนไทยเข้าด้วยกันเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจสังคม โดยใช้พลังของประชาชนเอง
4) ทำให้เกิดนิติรัฐ กระบวนการยุติธรรม และระบบความยุติธรรมที่เท่าเทียม ปราศจากการขัดขวางหรือสองมาตรฐาน
5) รวบรวมคนไทยผู้รักประชาธิปไตย ความเท่าเทียม และความยุติธรรมโดยเสมอหน้าทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อรื้อถอนและก้าวให้พ้นระบอบอำมาตยาธิปไตย
6) ใช้สันติวิธีเพื่อบรรลุเป้าหมายข้างต้น
เช่นเดียวกับขบวนการทางสังคมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยน แปลงทางสังคม คนเสื้อแดงได้ใช้เป้าหมายอย่างกว้างๆ เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มีความหลากหลายซึ่งอาจไม่จำ เป็นต้องมีอุดมการณ์ใดร่วมกันโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม โดยแก่นแล้ว ขบวนการคนเสื้อแดงก็สู้เพื่อประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย กลุ่มคนเสื้อแดงต้องการที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ประเทศที่ให้ความ สำคัญกับการเลือกตั้ง รัฐบาลจากการเลือกตั้งมีอำนาจปกครองอย่างแท้จริง และพลเมืองทุกคนได้รับการประกันสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐาน ที่สำคัญที่สุด ผู้สนับสนุน นปช. ก็คือผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งซึ่งมีสิทธิ์เป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และ เท่าเทียม แต่ไม่เคยเป็นที่ยอมรับ เนื่องมาจากระดับรายได้ของพวกเขา รวมถึงสถานะทางสังคม การศึกษา ถิ่นฐานบ้านเกิด และภูมิหลังชาติพันธุ์ สำหรับพวกเขาแล้ว การต่อสู้ของคนเสื้อแดงในประเด็นเรื่องชนชั้นนั้น สำคัญน้อยการต่อสู้เพื่อการยืนยันว่า พวกเขามีความเสมอภาคเทียบเท่ากลุ่มอำนาจเก่าในกรุงเทพฯ จำนวนน้อย ซึ่งผูกขาดอำนาจทางการเมืองมาอย่างยาวนานโดยอ้างว่าเสียงข้างมากโง่เขลา ไร้การศึกษา และซื้อได้ง่าย เกินกว่าจะวางใจให้เลือกผู้ปกครองประเทศ
แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตร ได้จุดประกายการเคลื่อนไหวนี้ด้วยการเพาะความรู้สึกมีอำนาจทางการเมืองให้ กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ไม่ถูกให้ความสำคัญมาเนิ่นนาน ด้วยการสนับสนุนให้ตระหนักถึงสิทธิของพวกตนเอง และด้วยการกระตุ้นให้เกิดความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในพลังของตนที่ จะก่อร่างอนาคตของประเทศ ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมหลายทศวรรษคือรากฐานที่ทำให้ประชาชนไทย ตื่นตัว ระบบการปกครองที่วางอยู่บนการยอมรับเสียงส่วนใหญ่ปราศจากความมั่นคงในระยะ ยาวจากหลายสาเหตุ ซึ่งกระบวนการทำให้ประเทศก้าวสู้ความเป็นสมัยใหม่เป็น สาเหตุที่สำคัญที่สุด เมื่อคำนึงว่าผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจำนวนมากในประเทศกำลังเปลี่ยนเป็น พลังที่ซับซ้อน ทะเยอะทะยาน และทันสมัย ประเด็นก็มีอยู่ว่าใครจะเป็นผู้ลงมือช่วงชิงกรสนับสนุนจากคน กลุ่มนี้ผ่านกระบวนการที่ทำให้มวลชนมีบทบาทที่ได้สัดส่วนกับพลัง ปริมาณ และความปรารถนาที่พวกเขามีอย่างมหาศาล ทักษิณเข้าใจปรากฎการณ์นี้และใช้ประโยชน์จากมัน แต่เขาไม่ได้สร้างมันขึ้นมา และแม้คนเสื้อแดงจำนวนมากอยากเห็นทักษิณกลับสู่ตำแหน่งที่เคยได้รับเลือกอีก ครั้ง แต่ขบวนการคนเสื้อแดงก็ก้าวข้ามทักษิณไปแล้ว
ในการปราศรัยกับผู้ชุมนุมเมื่อปี 2551 แกนนำ นปช. และอดีตโฆษกรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ผู้ปราศรัยที่มีวาทศิลป์ที่สุดคนหนึ่งในขบวนการคนเสื้อแดงบอกเล่าถึงการ ต่อสู้ของพวกเขาเพื่ออนาคตที่พวกเขาจะมีส่วนร่วมและมีความเป็นประชาธิปไตย มากขึ้น :
เราเกิดบนผืนแผ่นดิน เราโตบนผืนแผ่นดิน เราก้าวเดินบนผืนแผ่นดิน เมื่อเรายืนอยู่บน ดิน เราจึงห่างไกลเหลือเกินกับท้องฟ้า พี่น้องครับ
เมื่อเรายืนอยู่บนดิน ต้องแหงนคอตั้งบ่า แล้วเราก็รู้ว่า ฟ้าอยู่ไกล
เมื่อเราอยู่บนดิน แล้วก้มหน้าลงมา เราจึงรู้ว่า เรามีค่า เพียงดิน
แต่ผมแน่ใจว่า ด้วยพลังของคนเสื้อแดง ที่มันจะมากขึ้น ทุกวัน ทุกวัน ขยายตัวเพิ่มขึ้น ทุกนาที ทุกนาที แม้เรายืนอยู่บนผืนดิน แม้เราพูดอยู่บนผืนดิน แต่จะได้ยินถึงท้องฟ้า แน่นอน
เสียงไชโยโห่ร้องของเราในยามนี้ จากคนที่มีค่าเพียงดิน จากคนที่เกิดและเติบโตบนผืนแผ่นดิน จะได้ยินถึงท้องฟ้า แน่นอน
คนเสื้อแดง จะบอกดิน บอกฟ้าว่า คนอย่างข้าก็มีหัวใจ
คนเสื้อแดง จะบอกดิน บอกฟ้าว่า ข้าก็คือคนไทย
คนเสื้อแดง จะถามดิน ถามฟ้าว่า ถ้าไม่มีที่ยืนที่สมคุณค่า จะถามดิน ถามฟ้าว่า จะให้ข้าหาที่ยืนเองหรืออย่างไร [101]
คนเสื้อแดงไม่ได้สู้เพื่อทักษิณ แต่พวกเขาสู้เพื่อตัวพวกเขาเอง

ก่อนที่ นปช.จะเริ่มประท้วงต่อต้านการช่วงชิงเจตจำนงของประชาชนครั้งล่าสุด รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามปิดปากผู้ที่เห็นต่างด้วยการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพและพ.ร.บ.การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เฉพาะในปี 2552 มีรายงานว่าศาลรับฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (การกระทำความผิดต่อมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาของไทย) จำนวน 164 คดี มากกว่าสถิติของปี 2550 ซึ่งเป็นช่วงหลังรัฐประหารที่มีอยู่ 126 คดี และมากกว่าสองเท่าของคดีในปี 2551 ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของพรรคพลังประชาชน (77 คดี) ควรจะต้องตั้งข้อสังเกตด้วยว่าจำนวนคดีสูงสุดก่อนการรัฐประหารที่บันทึกไว้ ในปี 2548 มีการรับฟ้อง 33 คดี และผลจากความเข้มงวดของกฎหมายและความไม่เต็มใจของสื่อกระแสหลักในการ เปิดพื้นที่เพื่อถกเถียงในเรื่องซึ่งอาจทำลายภาพลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ ทำให้คดีจำนวนมากหายไปจากการนำเสนอของสื่อในระดับชาติและนานาชาติ [102]
นอกจากนี้ ปี 2552 ยังเป็นปีแห่งการฟ้องร้องอย่างต่อเนื่องอีกด้วย บางคดีมีการตัดสินและลงโทษอย่างรุนแรงต่อนักกิจกรรมเสื้อแดงซึ่งถูกกล่าวหา ด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หนึ่งปีก่อนหน้า เมื่อครั้งที่ นปช.ตั้งเวทีขนาดเล็กต่อต้านการชุมนุมที่ยืดเยื้อของพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย สิ่งที่รบกวนจิตใจที่สุดคือคดีของดารณี ชาญเชิงศิลปกุล (ดา ตอร์ปิโด) ซึ่งพิพากษาคดีไปเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ให้จำคุก 18 ปี สำหรับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 3 กระทง (หนึ่งกระทงต่อหนึ่งการกระทำผิด) จากการปราศรัยของเธอ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2551 การพิจารณาคดีของเธอเป็นไปอย่างปิดลับด้วยเหตุผลเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ” ดา ตอร์ปิโดต่างจากผู้ต้องหาส่วนใหญ่ที่ถูกตั้งข้อหาคล้ายคลึงกันและถูกปฏิเสธ หลักการตามกระบวนการยุติธรรม เธอปฏิเสธที่จะยอมรับข้อกล่าวหา สิ่งที่เธอได้รับกลับมาไม่ใช่เพียงโทษร้ายแรงเป็นพิเศษเท่านั้น ทันทีที่มีการพิพากษา เธอก็ถูกขังเดี่ยวและให้เปลี่ยนป้ายชื่อซึ่งระบุถึงฐานความผิดของเธอ ซึ่งทำให้เธอเป็นเป้าในการถูกคุกคาม
การ ใช้ พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในทางที่ผิดมีส่วนทำให้การฟ้อง ร้องด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสมบูรณ์ขึ้น พันตำรวจเอกสุชาติวงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ออกมายอมรับเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ได้ปิดกั้นเว็บไซต์ที่กระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไปแล้วกว่า 50,000 เว็บไซต์ [104]
การดำเนินคดีในข้อหาการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่สาธารณะให้ความสนใจมากที่สุด 2 คดี ได้แก่ คดีของสุวิชา ท่าค้อ และจีรนุช เปรมชัยพร สุวิชา ท่าค้อ ถูกจับกุมเมื่อเดือนมกราคม 2552 เนื่องจากโพสต์ภาพซึ่งอาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เขาถูกพิพากษาในเวลาต่อมาด้วยโทษจำคุก 20 ปีจากความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย แต่เนื่องจากให้การรับสารภาพจึงได้รับการลดโทษเหลือ 10 ปี และเมื่อถูกจำคุกอยู่ 1 ปี 6 เดือน ในที่สุด สุวิชาก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553
จีรนุช เปรมชัยพร ผู้ดูแลเว็บไซต์ข่าวอิสระประชาไท ถูกจับกุมในเดือนมีนาคม 2552 และถูกตั้งข้อกล่าวหา 10 กระทงจากการละเมิด พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ เธอถูกตั้งข้อหาเนื่องจากไม่สามารถลบความเห็นในเว็บบอร์ดประชาไทที่ทางการ มองว่าเป็นการให้ร้ายระบอบกษัตริย์ได้ทันท่วงที ต่อมา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ขอให้ลบความเห็นเหล่านี้ออก ในการไต่สวนคดีซึ่งจะเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เธออาจถูกตัดสินจำคุก 50 ปี ในขณะเดียวกันเว็บไซต์ประชาไทก็ถูกทางการปิดกั้นอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่มีการชุมนุมครั้งล่าสุดของคนเสื้อแดง จากกรณีดังกล่าวทำให้มีการตัดสินใจปิดเว็บบอร์ดในปลายเดือนกรกฎาคม 2553
การจับกุมด้วยข้อหาละเมิด พรบ. คอมพิวเตอร์ฯ รายอื่นๆ รวมถึง ณัฐ สัตยาภรณ์พิสุทธิ์ (จากการเผยแพร่ซ้ำวิดีโอที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์) ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล (จากการโพสท์ข้อความต่อต้านสถาบันกษัตริย์) วิภาส รักสกุลไทย (จากการโพสท์ข้อความหมิ่นในเฟซบุ๊ค) และอีก 4 รายที่ถูกกล่าวหาว่า เผยแพร่ "ข่าวลือ" เกี่ยวกับพระอาการประชวร ในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 2 รายที่เพียงแค่แปลข่าวในประเด็นนี้จากสำนักข่าวบลูมเบิร์กเท่านั้น [105]
การใช้อำนาจอย่างเป็นระบบในการจัดการกับผู้กระทำผิดทางการเมืองทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ถูกประณามจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว [106] และองค์การผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน [107] จากการที่รัฐบาลมีการฟ้องร้องดำเนินคดีและคุกคามคู่แข่งทางการเมือง ในเดือนมกราคม 2553 ฮิวแมนไรท์วอทช์ องค์กรเฝ้าระวังด้านสิทธิมนุษยชน แสดงความเสียใจกับ "การถดถอยอย่างร้ายแรง" ของสิทธิมนุษยชนในไทย จากการสังเกตการณ์นับตั้งแต่อภิสิทธิ์ขึ้นเป็นรัฐบาล [108] ตามรายงาน การไล่ล่าคู่แข่งทางการเมืองจะยังดำเนินต่อไปตราบเท่าที่รัฐบาลชุดนี้ยัง อยู่ในอำนาจ จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารคนใหม่ ให้คำมั่นว่าจะมีการปราบปรามต่อไปด้วยเหตุผลว่า "รัฐบาลให้เสรีภาพแก่ประชาชนมากเกินไป" [109] โดย สอดคล้องกัน ในเดือนมิถุนายน คณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งหน่วยงานใหม่คือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เพื่อกำจัดเนื้อหาในอินเทอร์เน็ตที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ [110] ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็จัดตั้งโครงการ "ลูกเสือไซเบอร์" เพื่อแนะนำให้ประชาชนใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างอินเทอร์เน็ตอย่าง "ถูกต้อง" [111] ซึ่งในวันถัดมานั่นเอง มีผู้ต้องหาคดีข่มขืนเด็กได้รับการประกันตัวและอนุญาตให้ออกนอกประเทศ [112] กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ประกาศว่าพวกเขาได้จัดตั้งเจ้าหน้าที่ 300 นาย เพื่อตรวจสอบผู้ที่มีความเห็นหรือพฤติกรรม "เป็นภัยหรือไม่ประสงค์ดี" ต่อสถาบันกษัตริย์ [113] รักษาการผู้อำนวยการกรมสอบสวนคดีพิเศษ พล.ต.เสกสรรค์ ศรีตุลาการ รายงานต่อสภาว่ามีผู้ต้องสงสัยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพราว 2,000 รายที่กำลังอยู่ภายใต้การสืบสวน เขากล่าวอีกว่าการกดดันจากภายนอกอย่างต่อเนื่องทำให้ดีเอสไอเริ่มกลายเป็น "เครื่องมือทางการเมือง" [114]
ทั้งหมดทั้งมวลแล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ดำเนินนโยบายที่มีความรุนแรงอย่าง ฉกรรจ์ต่อกลุ่มคนเสื้อแดง ก่อนหน้าการสังหารหมู่ครั้งล่าสุด กรณีใกล้เคียงกันที่เป็นที่รับรู้คือ การใช้กองกำลังทหารปราบปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ปะทุขึ้นในช่วงเทศกาล สงกรานต์ในเดือนเมษายน 2552 ซึ่งเกิดขึ้นในระดับที่เล็กกว่า
ในวันที่ 11 เมษายน 2552 ผู้ชุมนุมเสื้อแดงหลายร้อยคนใช้ความรุนแรงทำให้การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่พัทยาต้องยกเลิก โดยการบุกเข้าไปในโรงแรมที่มีการประชุมอยู่ ภายหลังปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่ได้คาดหมาย จุดสนใจของการชุมนุมเริ่มเคลื่อนไปที่กรุงเทพฯ โดยกลุ่มคนเสื้อแดงได้ปิดถนนและเกิดการชุมนุมที่ไร้การนำขึ้นรอบเมือง
สำหรับรัฐบาล ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้กลุ่ม "เสื้อน้ำเงิน" ของเนวิน ชิดชอบโจมตีเสื้อแดงที่พัทยา หันมาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดโดยรอบ เพื่อเตรียมการปราบปรามอย่างเด็ดขาด เช้ามืดของวันที่ 13 เมษายน กองทัพส่งกำลังเข้ามาสลายการชุมนุมเสื้อแดง ซึ่งทำให้เสื้อแดงแตกระจายกันไปตามจุดต่างๆ ทั่วกทม. การปราบปรามทำให้แกนนำนปช. ยอมจำนนและยุติการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะนองเลือด อีกเช่นเคยที่รัฐบาลอ้างว่ากองทัพปฏิบัติตามมาตรฐานสากล โดยการยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเตือน และใช้กระสุนยางเพื่อป้องกันตัว ซึ่งข้ออ้างนี้ถูกปัดตกไปด้วยภาพถ่ายและวิดีโอของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสลายการชุมนุมม็อบเสื้อแดงสรุปว่าไม่ มีคนเสื้อแดงเสียชีวิตจากการปะทะดังกล่าว [115] มีผู้บาดเจ็ด 123 ราย ขณะที่ฝ่ายผู้ชุมนุมระบุว่าคนเสื้อแดงอย่างน้อย  6 ราย ซึ่งบาดเจ็บจากการถูกยิง ถูกลำเลียงขึ้นรถบรรทุกทหารไปอย่างรวดเร็วและไม่พบเห็นอีกเลย หลายวันหลังจากการปราบปรามผู้ชุมนุมมีการพบศพของการ์ดนปช. 2 รายในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีร่องรอยของการซ้อมทรมาน [116]
ในรายงานประจำปี 2553 ขององค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุถึงมาตรการที่รัฐบาลใช้กับผู้ชุมนุมในช่วงต้น ปี 2552 ซึ่งแสดงให้เห็นการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต่อ ต้านกลุ่มอำนาจเก่ากับกลุ่มเสื้อเหลืองที่สนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่า ในข้อกล่าวหาเดียวกัน
- การใช้สองมาตรฐานในการบังคับใช้กฏหมายของรัฐบาลทำให้ความตึงเครียดทางการ เมืองยิ่งทวีขึ้น และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายหยั่งลึกมากขึ้น แกนนำและสมาชิก นปช. ถูกจับกุม กักขัง และตั้งข้อกล่าวหาทางอาญาหลังการชุมนุมยุติ แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของสาธารณะที่เรียกร้องให้มีการสืบสวน เหตุการณ์อย่างไม่แบ่งแยกฝ่าย ซึ่งรวมถึงกรณีความรุนแรงซึ่งมีแรงจูงใจทางการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษย ชนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง ในช่วงที่มีการชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปี 2551 ซึ่งเปิดโอกาสให้อภิสิทธิ์ได้ขึ้นสู่อำนาจ การยืดเวลาดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ ยิ่งทำให้สาธารณชนเข้าใจว่า พันธมิตรฯ ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบทางกฏหมาย [117] 
รัฐบาลทหารของไทยอุปโลกน์ให้คนเสื้อแดงจำนวนมากมีแนวโน้มว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย" ขณะเดียวกันยังมีความพยายามอย่างเป็นระบบในการทำลายความน่าเชื่อถือของขบวน การคนเสื้อแดง ด้วยการสั่งดำเนินคดี การคุกคาม และการใช้อำนาจศาลพิเศษ ซึ่งรัฐบาลอภิสิทธิ์นำมาใช้กับกลุ่ม นปช. และศัตรูทางการเมืองของตนอย่างไม่หยุดหย่อน นับตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจในเดือนธันวาคม 2551โดยกลไกของกองทัพ องคมนตรี ศาล และกลุ่มพันธมิตรฯ

ในวันที่ 8 มีนาคม 2553 ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ประกาศว่าเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ที่ กทม. เริ่มจากวันที่ 14 มีนาคม เขากล่าวย้ำว่าการชุมนุมจะเป็นไปอย่างสงบสันติ โดยระบุว่าเสื้อแดงจะดำเนินการตามแนวทางประชาธิปไตย และพวกเขาไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายในชาติ วันถัดมาอภิสิทธิ์ก็ประกาศใช้ พรบ. ความมั่นคงฯ
เมื่อเสื้อแดงเข้ามาที่กรุงเทพฯ พวกเขาเริ่มปักหลักชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ บนถนนราชดำเนิน การเลือกพื้นที่ชุมนุมมีนัยเชิงสัญลักษณ์อย่างยิ่งเพราะทำให้เห็นได้ว่าการ เคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการสืบทอดมรดกจากผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้อง ประชาธิปไตยในปี 2516 และ 2535 ซึ่งใช้พื้นที่เดียวกัน แม้จำนวนผู้ชุมนุมต่ำกว่าที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าคนเสื้อแดงเข้ามาชุมนุม กรุงเทพจำนวนล้านคน แต่การชุมนุมที่ถูกจัดตั้งมาอย่างดีครั้งนี้อาจจะเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่ สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และแน่นอนว่าใหญ่ที่สุดในรอบ 35 ปีที่ผ่านมา ข้อเรียกร้องของพวกเขาก็ง่ายๆ เพียงแค่ให้อภิสิทธิ์ลาออก "คืนอำนาจให้ประชาชน" และจัดการเลือกตั้งใหม่
การตอบรับที่คนเสื้อแดงได้รับในกรุงเทพฯ มีหลากหลาย มีรายงานว่าจริง ๆ แล้วผู้ชุมนุมเสื้อแดงส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ นปช. ได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากประชาชนหลายล้านคนจากภาคเหนือและภาคอีสานที่ ย้ายเข้ามากรุงเทพฯ ทั้งแบบถาวรและการย้ายถิ่นฐานตามฤดูกาล มีประชาชนจำนวนมากพอๆ กับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานความมั่นคงที่คอยให้กำลังใจพวกเขา เวลาที่พวกเขาเคลื่อนขบวนไปทั่วเมืองตลอดหลายสัปดาห์ในช่วงต้นของการชุมนุม เป็นไปได้ว่าชาวกรุงเทพฯยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ บางส่วนรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตไม่ได้รับความสะดวกอันเนื่องมาจากการชุมนุม ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของกลุ่ม "เสื้อสี" ขณะที่หลายคนอาจไม่แน่ใจว่าการชุมนุมจะก่อให้เกิดผลอะไร
อย่างไรก็ตาม ภาพของโครงสร้างสังคมไทย คนเสื้อแดงถูกเกลียดชังและดูถูกโดยสื่อในกรุงเทพฯ และชนชั้นกลางระดับบนจำนวนมากที่สนับสนุนเสื้อเหลือง โดยมากแล้ว สื่อที่ถูกรัฐบาลควบคุมต่างเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องและความคับแค้นของพวกเขา แต่กลับนำเสนอซ้ำ ๆ อย่างเป็นระบบว่าผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มคนที่ทักษิณว่าจ้างมา ถูกซื้อ หรือถูกล้างสมองเพื่อเข้าร่วมชุมนุมโดยมีเป้าหมายเพียงต้องการคืนคน ๆ หนึ่งสู่อำนาจ นำความมั่งคั่งของเขากลับมา และนิรโทษกรรมให้เขา ในวันที่ 13 มีนาคม เมื่อคนมารวมตัวกันที่เมืองหลวง หน้าแรกของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ก็พาดหัวว่า “นปช. บ้านนอกแห่เข้ากรุง” การเรียกร้องให้มีการปราบปรามยิ่งทำให้การชุมนุมต่อต้านและด่าทอรัฐบาลมาก ขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญมากที่สุดคือ การที่เสื้อแดงเข้ายึดพื้นที่ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ใจกลางย่านการค้าระดับสูงในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวยและสิทธิพิเศษ ทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านการค้า เดาได้ไม่ยากว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะออกมาโจมตีอย่างแข็งกร้าวและเรียกร้องให้รัฐบาลปราบปรามผู้ชุมนุมอย่าง เด็ดขาด
แม้ว่าในช่วง 4 สัปดาห์แรกของการชุมนุมจะเป็นไปอย่างสงบสันติ จนแทบจะกลายเป็นงานรื่นเริง แต่เมื่อมาถึงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายน รัฐบาลก็ตัดสินใจขับไล่ผู้ชุมนุมออกไปจากถนนกรุงเทพฯ ในปฏิบัติการสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลออกประกาศสั่งห้ามชุมนุมในพื้นที่ ในวันที่ 7 เมษายน อภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นำโดยรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณ [118] ในวันที่ 8 เมษายน ทหารบล็อกสัญญาณดาวเทียมสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนล แต่เมื่อผู้ชุมนุมพากันไปชุมนุมที่สถานีโทรทัศน์ไทยคม จังหวัดปทุมธานี ก็สามารถทำให้พีทีวีกลับมาออกอากาศได้ระยะหนึ่ง รัฐบาลก็ตัดสัญญาณพีทีวีอีก
คนจำนวนมากถูกสังหารในช่วงที่เกิดเหตุรุนแรงวันที่ 10 เมษายน ขณะที่เสื้อแดงใช้ก้อนหิน ประทัด ระเบิดขวด และอาวุธที่ประกอบขึ้นเองอย่างง่ายๆ ตอบโต้กับกองกำลังทหารที่ติดอาวุธหนัก เมื่อรัฐบาลยอมหยุดยิง มีผู้เสียชีวิต 27 คน ประกอบด้วยสมาชิก นปช. 21 ราย และเจ้าหน้าที่ทหารอีกจำนวนหนึ่งซึ่งถูกสังหารโดยกลุ่มคนลึกลับที่เรียกว่า "ชายชุดดำ" ซึ่งยังไม่ชัดเจนเรื่องแรงจูงใจและไม่ทราบว่าอยู่ฝ่ายใด ปฏิบัติการสลายการชุมนุมที่ล้มเหลวทำให้การเผชิญหน้าตึงเครียดขึ้น ฝ่ายรัฐบาลรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อหาวิธีการอื่นๆ แก้วิกฤติ ด้านกลุ่มเสื้อแดงหันมาปักหลักชุมนุมต่อที่ราชประสงค์
3 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรีประกาศแผนการปรองดอง ซึ่งในนั้นมีข้อเสนอจะจัดการเลือกตั้งอย่างเร็วที่สุดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ด้วย โดยแลกกับการให้เสื้อแดงยอมยุติการชุมนุม ไม่มีหลักประกันใดว่าอภิสิทธิ์จะยุบสภาตามที่เสนอ รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการส่งสัญญาณว่า จะผ่อนปรนมาตรการปิดกั้นสื่อที่ดำเนินมาอย่างเข้มข้นในช่วงที่มีการชุมนุมลง ก่อนการเลือกตั้ง รวมถึงไม่มีการให้คำมั่นว่าจะดำเนินสอบสวนที่เป็นอิสระในกรณีเหตุรุนแรงที่ เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน เสื้อแดงยอมรับข้อเสนอปรองดองของรัฐบาลแต่ก็ปฏิเสธข้อเสนอที่ปราศจากหลัก ประกันเหล่านั้น และหากมองย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน การที่คนเสื้อแดงเคลือบแคลงในคำสัญญาของอภิสิทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้ว
13 พฤษภาคม หนึ่งวันหลังจากที่รัฐบาลถอนข้อเสนอให้มีการเลือกตั้ง พล.อ. ขัตติยะ สวัสดิผล ทหารนอกแถวที่รู้จักกันในนาม เสธ.แดง ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นแกนนำสายฮาร์ดคอร์ ถูกยิงเข้าที่ศีรษะด้วยสไนเปอร์ขณะยืนอยู่หน้าไมโครโฟนและกล้องและต่อหน้า ต่อตาผู้สื่อข่าวตะวันตก ที่มุมหนึ่งของสวนลุมพินี [119] กระสุนที่ปลิดชีวิตของเสธ.แดง (เขาเสียชีวิตไม่กี่วันหลังจากนั้น) เป็นเพียงกระสุนนำทางก่อนให้กับกระสุนอีกหลายพันนัดซึ่งทหารยิงใส่ผู้ชุมนุม ที่ไม่มีอาวุธ ผู้บริสุทธิ์ที่สัญจรไปมา เจ้าหน้าที่อาสาสมัครและผู้สื่อข่าวในสัปดาห์ถัดมา ขณะที่ทางเสื้อแดงพยายามติดต่อเรียกร้องความช่วยเหลือจากต่างชาติเพื่อเปิด ทางสู่การเจรจาซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยวิธีทางการเมือง แต่รัฐบาลก็ยังเลือกบดขยี้พวกเขาด้วยกำลังทหาร มีการลำเลียงกองกำลังทหารหลายพันนายด้วยรถหุ้มเกราะสู่ท้องถนนของกรุงเทพฯ
หลายวันหลังการลอบสังหารเสธ.แดง รัฐบาลปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขายืนยันว่าจะยิง "ผู้ก่อการร้าย" [120] และก่อนหน้านี้ก็เคยระบุว่าเสธ.แดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” [121] การสังหารหมู่เกิดขึ้นทางทิศเหนือและทิศใต้ของพื้นที่การชุมนุมที่ราชประสงค์ รวมถึงพื้นที่แถวดินแดงและลุมพินี
ทหารประกาศให้พื้นที่บางแห่งเช่น ซอยรางน้ำซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของพื้นที่ชุมนุมและถนนพระราม 4 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ เป็น "เขตใช้กระสุนจริง" ที่นั่นทหารได้รับอนุญาตให้ยิงผู้ชุมนุมทุกคนที่พบซึ่งแทบทั้งหมดไม่มีอาวุธ  ผู้เห็นเหตุการณ์ที่ได้บันทึกในส่วนนี้ไว้อย่างละเอียด คือ ผู้สื่อข่าวที่ชื่อ นิค นอสติตซ์ [122] ไม่ว่าจะโดยอุบัติเหตุหรือด้วยยี่ห้อของทหารไทยที่ไม่เคยไยดีชีวิตคนก็ตาม มีผู้สัญจรไปมาจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บและถูกทหารยิงเสียชีวิต หนึ่งในคนเหล่านั้นมีเด็กอายุ 10 ปีถูกยิงที่ท้องใกล้กับสถานีแอร์พอร์ทลิงค์มักกะสัน [123] ในเวลาต่อมาโรงพยาบาลก็แถลงว่าเขาเสียชีวิต มีสิ่งที่ส่อให้เห็นว่าผู้สื่อข่าวตกเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน พยานผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งในแนวหลังทหารที่ถนนพระราม 4 ได้ยินทหารถามผู้บังคับบัญชาว่า "ยิงชาวต่างชาติกับนักข่าวได้ไหม?" [124] 
ที่น่าอับอายที่สุดคือการที่ทหารปิด "พื้นที่สีแดง" ไม่ให้อาสาสมัครหน่วยแพทย์พยาบาลฉุกเฉินเข้าไปในพื้นที่ [125] รวมถึงระดมยิงใส่เจ้าหน้าที่อาสาฯ ขณะที่พวกเขากำลังช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ [126] และกำลังทำหน้าที่กู้ชีวิตผู้ประท้วงที่มีบาดแผลอีกเป็นจำนวนมาก
การปะทะที่ดุเดือดและอันตรายถึงชีวิตผ่านไปหลายวันทำให้การป้องกันของ เสื้อแดงอ่อนลงอย่างมาก ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาป้องกันตนเองด้วยการเผายางอันเป็นความพยายามที่ไร้ ประโยชน์ในการจะสกัดกั้นการรุกคืบของกองทัพสมัยใหม่ แม้กระทั่งความพยายามเจรจาต่อรองในครั้งสุดท้ายซึ่งยังคงค้างคาอยู่ในวันที่ 18 พฤษภาคม ก็ถูกรัฐบาลอภิสิทธิ์ปัดทิ้ง [127] จนกระทั่งในวันที่ 19 พฤษภาคม ทหารก็ทะลวงผ่านแนวกั้นของเสื้อแดงได้ หลังจากนั้นไม่นานนัก แกนนำเสื้อแดงที่ราชประสงค์ประกาศยุติการชุมนุมและยอมมอบตัวกับตำรวจเพื่อ ป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือดมากกว่านี้ ขณะที่วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 กลายเป็นวันที่มืดมนที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เพราะมีการสังหารหมู่ผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งเลวร้ายที่สุดของ ประเทศ จำนวนผู้เสียชีวิตอาจจะเพิ่มอีกมากกว่านี้หากแกนนำนปช.ไม่ประกาศยุติการ ชุมนุมภายในเวลาที่เกือบจะสายเกินไป
อย่างไรก็ตาม การยอมแพ้ของแกนนำเสื้อแดงก็ยังไม่ทำให้การเข่นฆ่าจบลง หลายชั่วโมงหลังจากที่เสื้อแดงถูกสลายการชุมนุม ประชาชนอีก 6 รายเสียชีวิตจากการโจมตีที่วัดปทุมวนาราม ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเขตอภัยทานของผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ต้องการหลบซ่อนจากการ ใช้ความรุนแรง ผู้สื่อข่าวต่างชาติที่ได้รับบาดเจ็บในพื้นที่อธิบายว่ามีสไนเปอร์ยิงจากมา จากบนรางรถไฟฟ้าเข้าใส่กลุ่มคนที่ไม่มีอาวุธในเขตอภัยทานของวัด ป็นส่วนหนึ่งของพลเรือนที่ถูกยิงเสียชีวิตมีพยาบาลอาสานอกเครื่องแบบอยู่ หนึ่งราย [128]
จากตัวเลขอย่างเป็นทางการ มีประชาชนเสียชีวิต 55 รายในช่วงที่มีการปราบปรามนานนับสัปดาห์จนทำให้เสื้อแดงสลายการชุมนุมไปใน วันที่ 19 พฤษภาคม แม้จะมีการกล่าวหาเรื่อง "การก่อการร้าย" ซ้ำ ๆ แต่ก็ไม่รายงานเจ้าหน้าที่เสียชีวิตเลยในช่วงที่มีปฏิบัติการ ขณะที่ผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงไม่มีใครเลยที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีอาวุธ ฝ่ายรัฐบาลก็ยังคงปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งกำลังจะปลดเกษียณปฏิเสธเมื่อไม่นานมานี้ว่าทหารไม่ได้ยิงใส่ผู้ชุมนุม ที่ไม่มีอาวุธ เขาบอกว่าทหาร "ไม่เคยตั้งใจทำร้ายประชาชน" การดำเนินการสลายการชุมนุมนั้นกระทำตามหลัก "มาตรฐานสากล" [129]

ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ ทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติซึ่งมีหน้าที่ดูแลและเป็นผู้ ตีความ โดยคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ 18 คนตั้งขึ้นโดยข้อบัญญัติของ ICCPR เพื่อดูแลการบังคับใช้ ICCPR ในความเห็นทั่วไปเรื่องสิทธิในการมีชีวิตอยู่ซึ่งได้รับการประกันไว้ในมาตรา 6 ของ ICCPR นั้น คณะกรรมการระบุว่า:
รัฐภาคีควรมีมาตรการ...ในการป้องกันไม่ให้เกิด การใช้อำนาจสั่งการสังหารประชาชนของตนเอง การที่ผู้มีอำนาจในรัฐปล่อยให้เกิดการสูญเสียชีวิตเป็นเรื่องที่สร้างแรงกด ดันอย่างมาก เพราะฉะนั้นกฏหมายควรจะควบคุมอย่างเข้มงวดและจำกัดสถานการณ์ที่จะนำไปสู่การ สูญเสียในชีวิตจากการใช้อำนาจรัฐ [130]
อย่างน้อยที่สุด หากจะให้เป็นไปตามพันธกรณีที่ระบุไว้ใน ICCPR แล้ว รัฐต้องปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานของสหประชาติ ในเรื่องการใช้กำลังและอาวุธของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฏหมาย (ตาม "หลักการพื้นฐานของสหประชาชาติ") หลักการนี้มีไว้เพื่อช่วยให้ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติเช่นไทยรับรองและ สนับสนุนให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นระบบขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้ กฏหมาย หลักการเหล่านี้จะต้องได้รับการพิจารณาและต้องคำนึงถึงในกฏหมายส่วนท้องถิ่น รวมถึงระเบียบปฏิบัติของประเทศสมาชิกอื่นๆ [131]หลักการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับประเทศไทยและการสังหารหมู่เสื้อแดงอย่างยิ่ง โดยควรได้รับการคำนึงถึงขอบเขตที่เหมาะสมในการใช้กำลังในสถานการณ์ที่มีการ ชุมนุม รวมถึงกรณีเกิดการชุมนุมที่ไม่ถูกกฎหมายหรือเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงด้วย
หลักการพื้นฐานของสหประชาชาติเป็นหลักการที่ตั้งขึ้นโดยมีลดการใช้อาวุธ ร้ายแรงต่อพลเรือนให้น้อยที่สุด ดังนั้นหลักการของสหประชาชาติจึงจำเป็นสำหรับผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งหมด :
หลักการข้อที่ 3 การพัฒนาหรือการวางกำลังอาวุธยับยั้งที่ไม่อยู่ในขั้นร้ายแรง ควรกระทำอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะลดความเสี่ยงในการทำอันตรายต่อผู้ที่ไม่ เกี่ยวข้องและการใช้อาวุธนั้นควรมีการควบคุมอย่างดี
หลักการข้อที่ 4 การบังคับใช้กฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หากเป็นไปได้ควรใช้วิธี การปลอดความรุนแรงให้ถึงที่สุด ก่อนพิจารณาการใช้กำลังหรืออาวุธ พวกเขาใช้กำลังอาวุธเพียงแค่ในกรณีที่วิธีการอื่น ๆ ไม่สามารถใช้ได้แล้ว หรือไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าจะทำให้เกิดผลตรงตามเป้าหมายแล้วเท่านั้น
หลักการข้อที่ 5 เมื่อใดก็ตามที่จำเป็นต้องใช้กำลังและอาวุธอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายควร
a) ปฏิบัติอย่างอดกลั้นในการใช้กำลังและปฏิบัติตามสัดส่วนความร้ายแรงของสถานการณ์ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ทางกฎหมาย
b) ทำให้เกิดความเสียหาย การบาดเจ็บให้น้อยที่สุด รวมถึงควรเคารพและรักษาชีวิตมนุษย์
c) ทำให้แน่ใจว่าการช่วยเหลือและการรักษาพยาบาลสามารถเข้าถึงผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือคนที่ได้รับผลกระทบ โดยด่วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ [132]
หลักการพื้นฐานของสหประชาชาติในเรื่องการสลายการชุมนุมมีดังนี้ :
หลักการข้อ 12 เมื่อทุกคนได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในการชุมนุมที่สงบและถูกกฎหมาย ตามหลักการของประกาศสิทธิมนุษยชนและสนธิสัญญานานาชาติด้านสิทธิพลเมืองและ สิทธิทางการเมือง รัฐบาลและหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ควรรับรู้ว่ากำลังและ อาวุธจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติตามหลักการข้อ 13 และ 14
หลักการข้อ 13 ในการสลายการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่ได้มีความรุนแรง เจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายควรหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง หรือหากไม่สามารถกระทำได้ ก็ควรใช้กำลังให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น
หลักการข้อ 14 ในการสลายการชุมนุมที่มีความรุนแรง เจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายอาจใช้อาวุธได้ก็ต่อเมื่อวิธีการอื่นๆ ที่อันตรายน้อยกว่าไม่สามารถใช้ได้ และควรใช้กำลังให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายไม่ควรใช้อาวุธสงครามในกรณีนี้ เว้นแต่สภาพการเป็นไปตามเงื่อนไขของหลักการข้อ 9 [133]
หลักการข้อที่ 9 ระบุว่า:
หลักการข้อที่ 9 เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายไม่สามารถใช้อาวุธปืนกับบุคคลได้ ยกเว้นเพื่อป้องกันตนเอง หรือปกป้องบุคคลอื่นจากอันตรายถึงชีวิตหรือการบาดเจ็บขั้นร้ายแรงเฉพาะหน้า เพื่อป้องกันการก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิต เพื่อจับกุมบุคคลซึ่งกำลังกระทำอันตรายและตอบโต้เจ้าหน้าที่ หรือเพื่อไม่ให้บุคคลดังกล่าวหลบหนีการจับกุม และในกรณีที่ไม่มีวิธีการใดที่มีประสิทธิภาพที่จะให้ได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การใช้อาวุธสังหารโดยตั้งใจสามารถกระทำได้ ต่อเมื่อเผชิญสถานการณ์คับขันและหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อปกป้องชีวิตเท่านั้น
ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพไทยดูเหมือน จะไม่สนใจการควบคุมฝูงชนด้วยหลักการดังที่กล่าวมา แต่รัฐบาลกลับใช้วิธีการสลายการชุมนุมที่ขัดกับ “มาตรฐานนานาชาติ” ด้วยการใช้ “อาวุธที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต” เพียงจำนวนน้อย ไม่ได้แสดงความห่วงใยในการ “ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด” และเพื่อ “รักษาชีวิตคนไว้” นโยบายยิงเพื่อสังหารที่พวกเขานำมาใช้กับผู้ชุมนุมที่เผา ยางและจุดประทัด ก็ไม่ได้อยู่ในหลักการของการโต้ตอบ “ในสัดส่วนเดียวกับความร้ายแรงของการจู่โจม” การโจมตีใส่หน่วยแพทย์อาสา เป็นคำสั่งที่ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อการรับรองว่า “การช่วยเหลือและการรักษาพยาบาลควรทำให้สามารถเข้าถึงผู้ได้รับบาดเจ็บและ ผู้ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” แม้ว่าการชุมนุมของเสื้อแดงอาจถูกตราว่าเป็นการชุมนุมที่ “รุนแรง” และ “ผิดกฎหมาย” แม้หากว่า พรก.ฉุกเฉินฯ จะทำให้พวกเขาผิดกฎหมาย แต่พยานที่อยู่ในเหตุการณ์การใช้อาวุธกระสุนจริงของรัฐบาลก็กล่าวยืนยันหนัก แน่นว่า การใช้กำลังนั้นไม่จำกัดอยู่แค่ “การใช้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น” (ในหลักการข้อ 13) นอกจากนี้แล้ว ผู้ที่เสียชีวิตไม่มีใครเลยที่พบเห็นว่ามีอาวุธร้ายแรง ทำให้การ “จงใจใช้อาวุธร้ายแรง” ของรัฐบาลนั้น ไม่สอดคล้องตามกรณี “ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผ่อนปรนได้ ในการจำเป็นต้องใช้เพื่อรักษาชีวิต” (ในหลักการข้อ 9)
แทนที่จะปฎิบัติตามหลักสากลในสลายการชุมนุม รัฐบาลกลับใช้กองกำลังที่ได้รับการฝึกฝนอาวุธสงครามเพื่อสู้รบกับกองทัพของ ต่างชาติเข้าไปสลายการชุมนุมเสื้อแดง กล่าวอย่างเรียบๆ คือ มันเป็นสิ่งที่กองทัพไทยทำมาตลอดเมื่อเจอกับการชุมนุมใหญ่ที่เรียกร้อง ท้าทายอำนาจการควบคุมระบอบการเมืองของไทย พวกเขาละเลยมาตรฐานสากลและใช้กำลังทหารกับผู้ชุมนุม

000


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Comment here (เขียนความคิดตรงนี้นะ)