ดร.เทียนชัย เชื่อหากพรรคการเมืองชูแต่นโยบายกระตุ้นรากหญ้าใช้เงิน-เพิ่มหนี้ มีหวังประเทศล้ม ชี้วิกฤตสิ่งแวดล้อมลุกลามทั่วโลก ไทยกลับไม่เคยมีแผนรับมือภัยพิบัติ พร้อมเปิดตำราสอนนักการเมืองต้องอ่านโลกออก
วันที่ 11 มิถุนายน เวทีพลเมืองอภิวัฒน์ คนเปลี่ยน ประเทศไทยเปลี่ยน จัดกิจกรรม “20 คมความคิด 20 ปฏิบัติการเปลี่ยนประเทศไทย” โดยมี ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ เจ้าของนามปาก ‘ยุค ศรีอาริยะ’ นักวิชาการอิสระ บรรยายหัวข้อ “วิกฤตการเมืองและประเทศไทยฤาจะใกล้กลียุค จะก้าวข้ามอย่างไร” ณ หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เตือนวิกฤตราคาอาหารโลกพุ่ง
ดร.เทียนชัย กล่าวถึงสถานการณ์ของโลกด้านสิ่งแวดล้อมว่า กำลังเผชิญวิกฤตทางธรรมชาติที่หนักหน่วงและใกล้ตัวเข้ามาทุกที ซึ่งในปีที่ผ่านมาพบว่า วิกฤตภัยแล้งกับอากาศร้อน ได้กระทบต่อแหล่งเพาะปลูก ทั้งในแถบประเทศไทย อินโดนิเซีย ไล่ไปถึงจีนตอนใต้ และทวีปยุโรป ซึ่งพิบัติภัยดังกล่าว ส่งผลให้ราคาอาหารโลกพุ่งขึ้น เฉลี่ยประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ราคาอาหารสวิงขึ้นสูงมาก กระทั่งประชาชนอยู่ไม่ได้ อย่างเช่น ในประเทศตูนิเซีย อียิปต์ ซึ่งเศรษฐกิจย่ำแย่อยู่แล้วจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อต้องเผชิญกับราคาอาหารที่แพงขึ้นอีก ก็กลายเป็นว่าเกิดวิกฤตซ้อนวิกฤต ในที่สุดก็เกิดการลุกฮือ การเดินขบวนของประชาชน
“ส่วนในปีนี้ ดิฟ้าอากาศน่ากลัว พบแนวเพาะปลูกที่เกิดวิกฤตภัยแล้ง ทั้งในประเทศจีน เรื่อยมาถึงแคนาดา ส่วนประเทศไทยแม้จะเสี่ยงภัยน้อยกว่าประเทศอื่น แต่ก็เผชิญกับเอลนินโญ่ ลานินญ่าอย่างชัดเจน มีภัยแล้งตอนต้นปี พอช่วงปลายปีกลับมีน้ำท่วมใหญ่ สร้างความเดือดร้อนทั้งในพื้นภาคใต้ เหนือ อีสาน”ดร.เทียนชัย กล่าว และว่า วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากส่งผลต่อการแหล่งเพาะปลูก ความมั่นคงทางอาหารแล้ว ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจ อย่างเช่น ประเทศออสเตรเลีย วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ฉุดให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากเกิดสึนามิ ตัวเลขทางเศรษฐกิจก็โดนลากลงมาเช่นกัน
ดร.เทียนชัย กล่าวถึงสภาพดินฟ้าอากาศที่มีการพลิกผันอย่างมาก สะท้อนให้เห็นว่า โลกปัจจุบันวิกฤตสิ่งแวดล้อม มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ หรือการเมือง แต่ที่ผ่านมา ประเทศไทยกลับไม่เคยมีแผนอย่างเป็นระบบในการรับมือภัยพิบัติเลย เกิดภัยพิบัติขึ้นก็ของบประมาณมาจัดการแก้ปัญหา ชนิดที่ว่า วัวหายล้อมคอก ดังนั้น สิ่งแวดล้อมจึงเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่พรรคการเมืองควรหยิบยกขึ้นมาเป็นนโยบาย แต่กลับไม่มีพรรคใดมองวิกฤตสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากสนใจแต่เรื่องหาเสียง หรือคิดว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งที่ปัจจุบันกระแสวิกฤตสิ่งแวดล้อมดังกล่าวแพร่ไปทั่วโลก
“เยอรมันประกาศไม่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ หลังจากญี่ปุ่นโดนสึนามิขนาด 9 ริกเตอร์ถล่มและยังแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ประเทศไทยกลับเตรียมสร้างฐานนิวเคลียร์ 6 แห่งติดทะเล ทั้งนี้ จากการคาดการณ์พบว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ หากน้ำดังกล่าวซัดฐานนิวเคลียร์ ย่อมเกิดปัญหาแน่นอน สิ่งเหล่านี้ชัดเจนว่า เกิดจากความไม่เข้าใจต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกว่าจะมีหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ”
พยากรณ์ไม่เกิน 2 ปี โลกเจอวิกฤตใหญ่อีกรอบ
ยุค ศรีอาริยะ กล่าวอีกว่าวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากทำให้อาหารมีราคาแพงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โลก็อยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงเชื่อว่า ไม่เกิน 2 ปี โลกจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่อีกระลอกหนึ่ง ขณะเดียวกัน วิกฤตดังกล่าวจะกลายเป็นคลื่นกระแทกภาคการเมืองในทันที แต่นักการเมืองไทยกลับไม่มีการวิเคราะห์ให้เห็นว่าจะรับกับวิกฤตโลกอย่างไร อีกทั้งไม่เคยเรียนรู้บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เลย ไม่ว่าจะประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทยก็ตาม คิดแต่จะเอาเม็ดเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ ชูแต่นโยบายที่กระตุ้นให้คนรากหญ้าใช้จ่ายเกินกำลัง เพิ่มหนี้ อาทิ นโยบายบัตรเครดิตเกษตรกร ลดดอกเบี้ยให้คนซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซื้อรถยนต์
“ขณะที่ภาครัฐก็เร่งสร้างโครงการใหญ่ๆ เพิ่มหนี้สาธารณะ เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของจีดีพี สิ่งเหล่านี้จะเป็นอันตรายอย่างมาก และหากในอีก 2 ปีข้างหน้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นจริง หนี้สินดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยพัง และอาจถึงขั้นล้มละเลยได้ ดังนั้น นโยบายของประเทศจึงต้องศึกษาให้ดี อ่านสถานการณ์โลกให้ออก และนำมาวางเป็นยุทธศาสตร์ประเทศ”
ศก.พอเพียงสวนกระแสอย่างแรง ปชป.-พท.
ส่วนสาเหตุที่นักการเมืองชอบใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวนั้น ดร.เทียนชัย กล่าวว่า การนำเงินไปให้ชาวบ้านใช้หมู่บ้านละ 1,000,000 บาทจะทำให้ทุกคนมีความสุข อีกทั้งการนำเงินภาครัฐมาใส่ในอภิมหาโครงการ นักการเมืองจะได้ส่วนแบ่งถึง 30-50 เปอร์เซ็นต์ กระทั่งคนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีในทันที ดังนั้น จึงไม่แปลก หากจะไม่มีพรรคการเมืองใด ชูนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ทำเศรษฐกิจค่อยๆ โตแบบไม่ต้องปั่น เพราะเป็แนวคิดที่สวนกระแส ทั้งประชาธิปัตย์ และเพื่อไทยอย่างแรง อีกทั้งแนวคิดนี้ยังไม่ไปกับนักการเมืองที่ต้องการรายได้จากโครงการขนาดใหญ่
ทั้งนี้ ดร.เทียนชัย กล่าวด้วยว่า หากนักการเมืองไม่ให้ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ภาคประชาชนจะต้องเข้ามามีบทบาท สะท้อนภาพปัญหาและส่งต่อความคิดไปยังนักการเมือง โดยมีการรวมตัวกันตั้งแต่ระดับชุมชน เชื่อมระดับโลก เพื่อการขับเคลื่อนแนวคิดดังกล่าว ซึ่งเปรียบได้กับ "ผีเสื้อที่ค่อยขยับปีก" เมื่อขยับแรงขึ้นๆ ก็จะกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
“หากมองจากประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะพระพุทธเจ้า เล่าจื๊อ ขงจื้อ หรือแม้กระทั่งโมเสส ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า คนเล็กๆ ที่มีความคิด มีความตั้งใจจริง สามารถสร้างพลังที่สะเทือนไปทั่วโลกได้ โดยเราต้องอ่านโลกออกด้วย มียุทธศาสตร์โลก ไม่ใช่มีเพียงยุทธศาสตร์ระดับประเทศ หรือเอเชียเท่านั้น"
ที่มาอ้างอิงโดย ศูนย์ข้อมูลข่าวสารการปฏิรูปประเทศไทย เนื้อข่าวอ้างอิง
----------------------------------------------------------------------------------
ส่วนตัวขอกล่าวเห็นด้วยกับคุณดร.ทุกข้อกรณีคะ เนื่องจากว่า ณ ปัจจุบันนี้เกิดปัญหาขึ้นซ้อนทับมากมายเเละนักการเมืองก็ไม่ได้ทำห่าอะไรเลย มัวเเต่จะเเดกเงินคนไทยอย่างเดียว เเละคนไทยก้ไม่เคยจำบทเรียนที่เกิดขึ้นกับตัวเองเลยสักนิดเดียว ..อยากจะบอกว่า ศก.พอเพียงของเราที่มีมานานเเล้วอยากให้ทุกภาคส่วนนำไปใช้ให้เข้ากับตัวเองให้มากที่สุดคะ ของดีมีประโยชน์มากๆคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
Comment here (เขียนความคิดตรงนี้นะ)